ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. 2559 กลุ่มมิตรผลเป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายแรกในประเทศไทยและรายที่ 2 ในภูมิภาคเอเชียที่ได้รับการรับรองมาตรฐานบองซูโคร (Bonsucro) ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตอ้อยและน้ำตาลอย่างยั่งยืนระดับโลก โดยวงเงินสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนสีเขียว 800 ล้านบาทนี้ จะนำไปใช้สนับสนุนการดำเนินงานอย่างยั่งยืนของกลุ่มมิตรผลตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ นับตั้งแต่การทำไร่อ้อย ไปจนถึงกระบวนการผลิตน้ำตาล
ความร่วมมือในครั้งนี้สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของธนาคารเอชเอสบีซีในการเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero) ผ่านการช่วยเหลือลูกค้าของธนาคารฯ ในการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ตลอดจนเป้าหมายสำคัญของกลุ่มมิตรผลที่จะก้าวสู่องค์กรที่เป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ.2030 (พ.ศ.2573) และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี ค.ศ.2050 (พ.ศ.2593)
นายจอร์โจ กัมบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวว่า "ธนาคารเอชเอสบีซีและกลุ่มมิตรผลมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกันมาอย่างยาวนาน ทำให้เราสามารถสนับสนุนการเติบโตและเป้าหมายด้านความยั่งยืนของกลุ่มมิตรผลได้อย่างมีประสิทธิภาพใน 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และจีน การร่วมมือในครั้งนี้แสดงถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มมิตรผลในการส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ธนาคารเอชเอสบีซีมีความมุ่งมั่นที่จะใช้ความเชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อสนับสนุนลูกค้าให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนอย่างมีประสิทธิภาพ และผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ธนาคารเอชเอสบีซีได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มมิตรผล"
นายอรรถ เมธาพิพัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงิน กลุ่มมิตรผล กล่าวว่า "กลุ่มมิตรผลรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารเอชเอสบีซี ความยั่งยืนเป็นหัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มมิตรผล เช่นเดียวกัน กลุ่มมิตรผลมีแนวทางการทำงานตามหลักปรัชญา "ร่วมอยู่ ร่วมเจริญ" หรือ "Growing Together" เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน"
ที่มา: ธนาคารเอชเอสบีซี