นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การพัฒนาสถานบริการการสาธารณสุขคาร์บอนต่ำและเท่าทันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจากภาคสาธารณสุข มีกิจกรรมที่ต้องใช้ทรัพยากรและพลังงานจำนวนมาก จึงอาจก่อให้เกิดของเสียและมลพิษ ที่เป็นสาเหตุของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในอีกด้านหนึ่งโรงพยาบาลเป็นสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายต่อการให้บริการประชาชนที่ไม่ต่อเนื่อง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการ ทั้งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงพยาบาล และขณะเดียวกันก็ต้องปรับตัวเตรียมพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้สถานบริการการสาธารณสุขทุกแห่งจัดบริการ โดยคำนึงถึงความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐาน GREEN & CLEAN Hospital Challenge ของกรมอนามัย ซึ่งปัจจุบันมีโรงพยาบาลผ่านระดับมาตรฐานขึ้นไป จำนวน 829 แห่ง อีกทั้งจากสถานการณ์ปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพที่เพิ่มสูงขึ้น จึงจำเป็นเร่งด่วนที่โรงพยาบาลต้องมีการควบคุมการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสมและเฝ้าระวังไม่ให้ปนเปื้อนเชื้อดื้อยาไปกับของเสียและน้ำเสียของโรงพยาบาล และในช่วงที่ทุกพื้นที่ต้องประสบปัญหาฝุ่น PM 2.5 ก็ต้องพร้อมจัดทำห้องปลอดฝุ่นในสถานบริการการสาธารณสุขทั่วประเทศด้วย เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เอื้อต่อสุขภาพสำหรับประชาชน ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขขอเชิญชวนประชาชนและหน่วยงานภาคสาธารณสุขทุกแห่งทั่วประเทศ "มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการลดโลกร้อนและเท่าทันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สนับสนุนนโยบายของประเทศที่มุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี พ.ศ. 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี พ.ศ. 2608
ด้าน แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อภาพรวมการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชากรทั่วโลก สาเหตุมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลปี 2565 พบว่าประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกภาคส่วน 385.9 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่า ในขณะที่สถานบริการการสาธารณสุขแม้จะปล่อยเพียง 33.8 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี แต่ก็ต้องมีส่วนร่วมต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า และเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวและเตรียมการรองรับภัยพิบัติจากสภาพอากาศสุดขั้วที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น พร้อมทั้งต้องจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม ที่ได้มาตรฐาน อาทิ การจัดการขยะและน้ำเสีย ตามโครงการ GREEN & CLEAN Hospital Challenge ซึ่งได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยในปี 2568 นี้ มีผลการดำเนินงานสถานบริการการสาธารณสุขพัฒนาได้ตามเกณฑ์ GREEN & CLEAN Hospital Challenge ระดับมาตรฐานขึ้นไป ร้อยละ 86 และผ่านเกณฑ์ระดับท้าทายด้านการพัฒนาโรงพยาบาลคาร์บอนต่ำและเท่าทันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จำนวน 22 แห่ง รวมถึงการ เฝ้าระวังการปนเปื้อนเชื้อดื้อยาจากโรงพยาบาลสู่สิ่งแวดล้อม และการดำเนินงานเรื่องห้องปลอดฝุ่น แสดงให้เห็นถึงพลังของภาคสาธารณสุขยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
ด้าน นายแพทย์ธิติ แสวงธรรม รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยจึงได้จัดงานยกระดับคุณภาพการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมในสถานบริการการสาธารณสุขที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเอื้อต่อสุขภาพ ประจำปี 2568 ภายใต้หัวข้อ "Upscaling GREEN & CLEAN Hospital to Smart Healthcare and GREEN Health Sector รวมพลังสาธารณสุขยุคใหม่ ยกระดับ รับมือ ลดโลกร้อน" เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และเชิดชูเกียรติสถานบริการการสาธารณสุขคาร์บอนต่ำและเท่าทันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้นแบบสำหรับการขยายผลการดำเนินงานให้ครอบคลุมยิ่งขึ้นต่อไป กิจกรรมประกอบด้วย 1) การอภิปรายและการบรรยายพิเศษจากวิทยากร ผู้เชี่ยวชาญ อาทิ กรมอนามัย กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก องค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2) พิธีมอบโล่รางวัล GREEN & CLEAN Hospital Challenge ระดับท้าทายด้านการพัฒนาโรงพยาบาลคาร์บอนต่ำและเท่าทันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประจำปี 2567 - 2568 และ 3) บูธนิทรรศการวิชาการจากหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กรมอนามัย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ โรงพยาบาลภาครัฐและเอกชนที่ดำเนินงานพัฒนาด้านคาร์บอนต่ำและเท่าทันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และหน่วยงานต่าง ๆ
ที่มา: กรมอนามัย