ในช่วงเวลาที่ความผันผวนจากทั้งภัยธรรมชาติ และนโยบายเศรษฐกิจระดับโลกเริ่มส่งแรงสะเทือนเข้ามาสู่ประเทศไทยที่รุนแรงกว่าคาด และครั้งนี้มาในรูปแบบที่ยากจะต่อกรกับประเทศมหาอำนาจ น้าแดงมองว่า การรับมือกับตลาดช่วงนี้จึงไม่จำเป็นต้องรีบ "เข้าซื้อ" เพราะอาจมีเซอร์ไพรส์ด้านนโยบายต่างๆได้อีกต่อเนื่อง นักลงทุนจึงควรดำเนินการลงทุนด้วยความระมัดระวัง และกลับมาทำความเข้าใจตลาดหุ้นไทยอย่างถ่องแท้ให้มากขึ้น เพราะทศวรรษที่ผ่านมาหุ้นไทยเปลี่ยนไปจากเดิมมาก แบบแผนการลงทุนเดิมๆอาจใช้ไม่ได้ในวันนี้
น้าแดงมองว่าปัจจุบัน ปัญหาเรื่องสงครามการค้า ทำให้เกิดความไม่แน่นอนสูงในโลกธุรกิจ เช่น ลูกค้าชะลอการสั่งซื้อ, การต้องหาแหล่งวัตถุดิบใหม่, ปรับสายการผลิตใหม่ หรือ ต้องหาลูกค้ากลุ่มใหม่ เป็นต้น ดังนั้นในแง่ผู้ประกอบการ การจะลงทุนขยายกิจการใดๆ เชื่อว่าอาจจะต้องคิด และระมัดระวังมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งผนวกด้วยตลาดหุ้นไทยเป็น Old Economy หรือ เศรษฐกิจดังเดิมที่ไม่ได้ใช้นวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อน ดังนั้น การเติบโตจะไม่หวือหวาอยู่แล้ว และยิ่งการลงทุนขยายกิจการที่อาจลดลงเพราะสงครามการค้า น้าแดงเชื่อว่าทางเลือกนึงที่ผู้ประกอบการจะเลือกทำได้ คือ การคืนเงินแก่ผู้ถือหุ้นในรูปเงินปันผลนั่นเอง
นั่นจึงทำให้ตลาดหุ้นไทย หากพิจารณาดีๆ จะพบว่าเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนปันผล (Dividend yield) สูงกว่าถึง 4% เปรียบเทียบกับตลาดที่เติบโตอย่าง S&P500 ที่ให้ปันผลเพียงแค่ 1% เท่านั้น ดังนั้น การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาก่อนหน้านี้ และกำลังยังได้รับแรงกระแทกเพิ่มเติมจากปัญหาแผ่นดินไหว หรือ สงครามการค้า นั่นยิ่งทำให้ ผลตอบแทนปันผลยิ่งกว้างมากขึ้น น้าแดงพบว่าหุ้นปันผลดีๆบางตัว ให้ผลตอบแทนได้มากกว่า 7-8% แล้วอีกด้วย ดังนั้นหากเข้าใจภาพนี้แล้ว ตอนนี้ตลาดหุ้นไทย อาจจะเรียกได้ว่ากำลังจะเป็น "สวรรค์ของคนรักปันผล" เพียงแต่ว่า ต้องเลือกธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติข้างต้น
ส่วนการประเมินทิศทาง SET ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากแผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ และความเสี่ยงจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯนั้น ซึ่งทั้งสองปัจจัยมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในหลายด้าน โดยเบื้องต้น ณ ข้อมูลที่มี เชื่อว่าจะกระทบต่อ GDP ประมาณ 0.3-0.9% (ขึ้นกับการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทย-สหรัฐ) ทำให้ปีนี้การเติบโตของ GDP จะต่ำกว่า 2% ส่วนผลกระทบจากแผ่นดินไหวต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ มองว่ามูลค่าความเสียหายไม่มากนัก 18,000-20,000 ล้านบาท แม้จะมีกิจกรรมการซ่อมแซมเข้ามาช่วย แต่อุปสงค์ในอสังหาฯอาจจะชะงักออกไปมากกว่า 6 เดือน ซึ่งปัจจุบันมีสต๊อกคอนโดฯเหลือจำนวนมากกว่า 9 หมื่นหน่วย ขณะที่หุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทอสังหาฯ มีกำหนดชำระใน 3 ไตรมาสที่เหลือของปีนี้สูงถึงราว 1.2 แสน ลบ. ตรงนี้กลายเป็นความเสี่ยงสำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นกู้บริษัทอสังหาฯที่อ่อนแอ ประเด็นนี้ต้องจับตาดีๆ
ในเรื่องของกลยุทธ์การลงทุน น้าแดงแนะนำให้ถือเงินสดอย่างน้อย 10% เพื่อเตรียมรับโอกาส(หากมี) และทยอยเก็บสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้ 20% ส่วนการลงทุนในหุ้นนั้นก็ยังคงชอบที่สุด เพราะให้ผลตอบแทนในระยะยาวที่สูง แนะควรกระจายการลงทุนพอๆกันฝั่งละ 25% ที่หุ้นต่างประเทศ และหุ้นไทยที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง หุ้นที่ฝ่ายวิจัยชอบ เช่น CPALL, ADVANC, BH, GULF ส่วนสายเก็งกำไรอาจมองที่ MONO ที่กำลังจะได้รับประโยชน์จากเป็นผู้ถ่ายทอดสดฟุตบอล Premier League ฤดูกาลใหม่เริ่ม ส.ค. นี้ ส่วนทองคำให้น้ำหนัก 20% เอาไว้ป้องกันความเสี่ยงทั้งเศรษฐกิจ และ เงินเฟ้อ
บทสรุปที่น้าแดงฝากไว้คือ หากการเจรจาทางการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ไม่เป็นผล ตลาดอาจต้อง "รีเซต" การประเมินใหม่ทั้งระบบ แต่สิ่งสำคัญคือการลงทุนไม่ใช่เรื่องของการเอาชนะตลาดในทุกวัน แต่คือการอยู่รอดอย่างมั่นคงในทุกช่วงเวลา พร้อมทั้งย้ำว่า "ตลาดไม่ต้องการคนกล้าในทุกวินาที แต่อยากได้คนมีวินัยในจังหวะที่ใช่"
หากคุณสนใจบทวิเคราะห์เชิงลึก บทความดีๆ หรืออยากเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเดียวกับเรา Liberator พร้อมพาคุณสู่ความสำเร็จในโลกการลงทุน มาเรียนรู้และเติบโตไปกับเรากันเถอะ!
บัญชีใหม่ฟรีค่าคอมฯ 1 เดือนเต็มเปิดทีเดียวจบ ได้ครบทั้ง 5 บัญชี กับ Liberator Application
สินทรัพย์หลากหลาย: TH หุ้นไทย US หุ้นอเมริกา และ TFEX รวมถึง Cash Account และ Cash Balance
พร้อมทั้งมีสิทธิประโยชน์มากมาย: คลาสเรียนฟรี (ดูเพิ่มเติม: คลาสเรียน) กิจกรรมคอมมูนิตี้ (ดูเพิ่มเติม: กิจกรรมคอมมูนิตี้) อัตราค่าคอมฯที่เป็นมิตร มีให้เลือกทั้งแบบปกติ และ แพคเกจเหมาจ่าย สะดวกเลือกได้ตามสไตล์คุณ
- LIB Basic: หุ้นไทย 0.6%, หุ้นสหรัฐฯ 0.1% ต่อธุรกรรม
- LIBFAM Subscription: หุ้นไทยเริ่ม 499 บาท/เดือน, หุ้นสหรัฐฯ 1,999 บาท/เดือน
และ ที่พลาดไม่ได้ Liberator Day เทรดฟรี! ไม่มีค่าคอมฯ ทุกไม้ ทุกวันที่ 21 ของทุกเดือน!
มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเราได้แล้ววันนี้!
ที่มา: บางกอก ออทัม