โดยผู้ที่เข้ารับบริการส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างและกลุ่มไรเดอร์ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า โครงการที ลีสซิ่ง เปื้อนยิ้มฯ ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้มาก เนื่องจากปัจจุบันรายได้ลดลง แต่ค่าครองชีพสูงขึ้น อยากขอบคุณทุกหน่วยงานที่เล็งเห็นความสำคัญของการใช้รถจักรยานยนต์ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน เพื่อความปลอดภัย ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ และอยากให้จัดโครงการที ลีสซิ่ง เปื้อนยิ้มฯ ต่อไปทุกปี
จากข้อมูลกรมควบคุมมลพิษ ระบุ ค่าการปล่อยฝุ่นละออง PM2.5 ต่อรถจักรยานยนต์ 1 คัน คือ 16.10 ไมโครกรัม /1 กิโลเมตรของการขับขี่ โดยระยะทางเฉลี่ยของการขับขี่จักยานยนต์ ต่อ 1 ปี คือ 4,000 กิโลเมตร ต่อปี ซึ่งการตรวจสภาพรถจักรยานยนต์และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องจะช่วยลดฝุ่นละออง PM 2.5 ได้ถึง 80% หรือคงเหลือการปล่อยฝุ่นละออง PM 2.5 เท่ากับ 3.22 ไมโครกรัม/ 1 กิโลเมตรของการขับขี่ ดังนั้น จำนวนรถจักรยานยนต์ที่เข้าร่วมโครงการนี้ สามารถลดฝุ่นละออง PM 2.5 ในสิ่งแวดล้อมได้จำนวน 0.62 กิโลกรัม
เป้าหมาย โครงการที ลีสซิ่ง เปื้อนยิ้มฯ สอดคล้องเจตนารมณ์ของการร่วมแก้ไขปัญหามลพิษ ที่นับวันทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เพราะหากย้อนไปปี 2561 ประเทศไทยประสบปัญหา PM 2.5 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แหล่งมลพิษหลัก คือการจราจรฝุ่นควันจากท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ รถยนต์ดีเซล รวมทั้งการก่อสร้างและโรงงานอุตสาหกรรม ส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นายมงคล เพียรพิทักษ์กิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที ลีสซิ่ง จำกัด กล่าวว่า การตรวจสภาพรถ เป็นอีกหนึ่งบริการที่ส่งมอบความปรารถนาดีต่อผู้ใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะผู้ขับขี่จักรยานยนต์ได้มีความปลอดภัย ก่อนเดินทางช่วงเทศกาล นอกจากเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ยังมีบริการตรวจเช็คควันดำ เพื่อรณรงค์การลดมลพิษในอากาศและลดฝุ่น PM 2.5 เสริมสร้างทัศนวิสัยที่ดีสร้างความปลอดภัยให้กับเพื่อนร่วมทาง "เชื่อว่าการเตรียมความพร้อมตรวจเช็คสภาพรถ และเรียนรู้การขับขี่อย่างปลอดภัยก่อนเดินทาง ถือเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้"
ดร.อิทธิพล พ่ออามาตย์ หัวหน้าศูนย์วิจัยด้านมลพิษจากยานพาหนะ กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า กล่าวว่า ในด้านนโยบายและมาตรการ นับว่าภาครัฐประสบความสำเร็จใจการรับมือฝุ่น PM 2.5 พบค่าฝุ่นขนาดใหญ่ลดลง แต่ฝุ่นจิ๋วหรือฝุ่นขนาดเล็กกลับเพิ่มขึ้น สะท้อนนวัตกรรมการเผาไหม้เครื่องยนต์ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในสภาพอากาศ เป็นปัญหาท้าทายของการวางแนวทางแก้ปัญหามลพิษ ที่มีองค์ประกอบอื่นๆ เช่น จำนวนประชากร จำนวนรถยนต์ ล้วนส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงขนาดของฝุ่น "ย้อนไป 15 ปีที่ผ่านมา ขอชื่นชมธุรกิจในเครือเอ็ม บี เค ถือเป็นหน่วยงานภาคเอกชนแห่งแรก ที่มุ่งมั่นให้สนับสนุนหน่วยงานรัฐ ในการจัดการมลพิษภาคขนส่งในกรุงเทพมหานครอย่างจริงจัง ภายใต้แนวคิดการกำหนดโซนอากาศสะอาด โดยเฉพาะการจัดระบบพื้นที่จอดรถบนศูนย์การค้า ต่อเนื่องมาโครงการที ลีสซิ่ง เปื้อนยิ้มฯ ที่จะกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่ มีความสำนึกรับผิดชอบร่วมกันในระยะยาว"
ทั้งนี้ หากรถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนในกรุงเทพมหานคร จำนวน 4.5 ล้านคัน ผ่านการตรวจสภาพลดควันดำจะสามารถลดฝุ่นละออง PM 2.5 ได้ 2.79 ตัน/ปี ส่งผลดีด้านสุขภาพ อาทิ ลดการตายต่อเวลาอันควร จำนวน 910 - 2,600 ราย ลดจำนวนผู้ป่วยรายใหม่จากโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง จำนวน 3,900 - 12,090 ราย ตลอดจนลดการเข้ารับการรักษาโรคระบบทางเดินหายใจและหลอดเลือดหัวใจ จำนวน 728 - 2,041 ราย โดยปี 2569 ที ลีสซิ่ง เตรียมขยายความร่วมมือกับกรมควบคุมมลพิษและภาคี เดินหน้าขับเคลื่อนตรวจสภาพรถเพื่อสุขภาพคน ปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนเข้าใจต้นกำเนิดของปัญหามลพิษ เกิดความตระหนักถึงผลกระทบสุขภาพของตัวเอง จนนำไปสู่การปรับความคิดและพฤติกรรมแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในระยะยาวต่อไป
ที่มา: เอ็ม บี เค
