ครึ่งปีแรก 2550 บริษัทจดทะเบียนกำไรรวมกว่าสองแสนสองหมื่นล้านบาท

จันทร์ ๒๐ สิงหาคม ๒๐๐๗ ๑๑:๔๕
กรุงเทพฯ--20 ส.ค.--ตลท.
บริษัทจดทะเบียนประกาศผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี มีผลกำไรรวม 229,403 ล้านบาท โดยมียอดขายรวม 2,864,809 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทจดทะเบียนร้อยละ 78 มีกำไรสุทธิ สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรม 3 อันดับแรกที่กำไรสุทธิรวมสูงสุดได้แก่ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มธุรกิจการเงิน บริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ PTT, SCC, PTTEP, TOP และ BBL
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนประจำงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2550 ว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 469 บริษัทที่นำส่งงบการเงินจากบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 492 บริษัท รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์ มีกำไรสุทธิรวม 229,403 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 47,674 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 17 โดยมีบริษัทที่มีกำไรสุทธิ 367 บริษัท และขาดทุนสุทธิ 102 บริษัท คิดเป็นสัดส่วน 78 ต่อ 22 ในขณะที่ผลการดำเนินงานโดยรวมในงวดไตรมาส 2 ปี 2550 มีกำไรสุทธิ 114,578 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
นางภัทรียากล่าวว่า “สาเหตุหลักที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนงวด 6 เดือนแรกของปี 50 ลดลงจากงวด เดียวกันของปีก่อน มาจากต้นทุนขายเพิ่มขึ้น ประกอบกับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งกลุ่มธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนมีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มตามเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ (IAS 39) อย่างไรก็ตามหากพิจารณายอดขายรวมงวด 6 เดือน ปี 2550 เท่ากับ 2,864,809 ล้านบาท เพิ่มร้อยละ 5 จากงวดเดียวกันของปีก่อน ”
สำหรับบริษัทในกลุ่ม SET100 มีกำไรสุทธิ 206,330 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 90 ของกำไรสุทธิรวม ลดลงร้อยละ 13 ส่วนยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 แต่มีต้นทุนขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ทำให้กำไรขั้นต้นลดลงจากร้อยละ 27 เป็นร้อยละ 25ส่วนบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม SET50 กำไรสุทธิ 188,650 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 82 ของกำไรสุทธิรวม ลดลงร้อยละ 16 โดยมี ยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ต้นทุนขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ทำให้กำไรขั้นต้นลดลงจากร้อยละ 27 เป็นร้อยละ 25 เช่นเดียวกัน
สำหรับบริษัทที่มีมูลค่ากำไรสุทธิรวมสูงสุด 5 อันดับแรกคือ บมจ.ปตท. (PTT) บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ.ไทยออยล์ (TOP) และ บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL)
ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน 8 กลุ่มอุตสาหกรรม (Industry Group ) ไม่รวมบริษัทในกลุ่ม NC( Non-Compliance) และ NPG (Non — Performing Group ) มียอดขายเพิ่มเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ยกเว้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 20 ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 21 โดย มีผลดำเนินงานเรียงตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิสูงสุด ดังนี้
1. กลุ่มทรัพยากร ประกอบด้วยหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดเหมืองแร่มีกำไรสุทธิ 105,452 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 8 และยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เนื่องจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวสูงขึ้น แต่มีต้นทุนขายเพิ่มขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลง และค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน
2. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ประกอบด้วยหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดวัสดุก่อสร้างและ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มีกำไรสุทธิ 41,179 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 จากงวดเดียวกันของปีก่อน
3.กลุ่มธุรกิจการเงิน ประกอบด้วยหมวดธนาคาร หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ และหมวดประกันภัยและประกันชีวิต มีกำไรสุทธิรวม 26,742 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 48 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มตามเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย
สำหรับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ 13 แห่ง มีกำไรสุทธิรวม 20,970 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 54 โดยมีสาเหตุหลักจากการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มตามเกณฑ์ใหม่ของธปท. เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ (IAS 39)
ด้านบริษัทในหมวดเงินทุนและธุรกิจหลักทรัพย์ (ไม่รวมบริษัทที่ประกอบธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่ง) 19 บริษัท มีกำไรสุทธิ 1,804 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 26 เนื่องจากบริษัทเงินทุนมีหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการตั้งสำรองตามเกณฑ์ใหม่ของธปท. เพื่อให้สอดคล้องกับ IAS 39 เช่นเดียวกับธนาคาร ส่วนหมวดประกันภัยและประกันชีวิต มีกำไรสุทธิรวม 2,095 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9
4. กลุ่มบริการ ประกอบด้วยหมวดพาณิชย์ หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ หมวดการแพทย์ หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ หมวดบริการเฉพาะกิจ และหมวดขนส่งและโลจิสติกส์ มีกำไรสุทธิ 23,872 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 23 โดยยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 โดยหมวดที่มีกำไรเพิ่มขึ้น ได้แก่ หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ กำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 32
5. กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ประกอบด้วยหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร หมวดบรรจุภัณฑ์ หมวดกระดาษและวัสดุการพิมพ์ และหมวดยานยนต์ มีกำไรสุทธิ 17,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 โดยมียอดขายและต้นทุนขายเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกันร้อยละ 9 ในขณะที่กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง
6.กลุ่มเทคโนโลยี ประกอบด้วยหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีกำไรสุทธิ 11,663 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 46 อย่างไรก็ตาม หมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีกำไรสุทธิสูงขึ้นร้อยละ 26 โดยมีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ในขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีผลขาดทุน
7. กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ประกอบด้วยหมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดธุรกิจการเกษตร มีกำไรสุทธิ 3,873 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 44 โดยปัจจัยหลักมาจากภาวะตกต่ำของราคาเนื้อสัตว์ในประเทศและการส่งออกได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาท รวมทั้งต้นทุนวัตถุดิบปรับเพิ่มขึ้น
8. กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ประกอบด้วยหมวดของใช้ในครัวเรือน หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ หมวดแฟชั่น มีกำไรสุทธิ 2,328 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 31
ติดต่อส่วนสื่อมวลชนสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กร
ลดาวัลย์ กันทวงศ์ โทร. 0-2229 — 2036 / ศรินทร์ลักษณ์ จิตกะวงศ์ โทร. 0-2229 — 2037/
ณัฐพร บุญประภา โทร. 0-2229 — 2049 / วรรษมน เสาวคนธ์เสถียร โทร. 0-2229-2797

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๑ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น! คาโอ คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 2 ประเภทในปี 2567 ชูความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม
๑๗:๒๓ AVATR ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่! ระดมทุนในรอบ Series C ได้มากกว่า 11,000 ล้านหยวน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราแห่งอนาคต
๑๗:๐๖ Zoom เปิด 10 เทรนด์ ใช้ AI ในการทำงานปี 2568
๑๗:๑๐ เปิดมุมมองอาชีพที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย เจาะลึกบทบาทและแนวทางยกระดับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๑๔ อนาคตแห่งการเดินทาง: 5 คนขับ AI จากแอปเรียกรถ Maxim
๑๗:๕๕ Well-Being House บ้านชั้นเดียวเอาใจคนวัยเกษียณ
๑๗:๑๖ กทม. แจงเปิดกว้างการแข่งขันโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับนักเรียน
๑๖:๓๗ รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ
๑๗:๒๕ เมดีซ กรุ๊ป ร่วมสมทบทุนสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ช่วยผู้ป่วยในชนบท ถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
๑๖:๔๔ CNN จับตา นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทย พลิกโฉมการตรวจคัดกรองความเครียดด้วย เหงื่อ