กรุงเทพฯ--16 พ.ค.--เจดี พาร์ทเนอร์
เค.ซี.เผยผลประกอบการไตรมาส 1/2550 ยังรักษาระดับรายได้ไว้สม่ำเสมอ แม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมชะลอตัว ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นสูงสุดมาอยู่ที่ 47.24% เป็นผลจากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ
เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ ระบุไตรมาสแรก ปี 2550 แม้ต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงและกำลังซื้อที่ซบเซา แต่ผลประกอบการบริษัทฯ ยังแข็งแกร่ง โดยมีรายได้รวม 197.48 ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคงที่ และต้นทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นสูงสุดมาอยู่ที่ 47.24% ทั้งนี้ มั่นใจตลาดบ้านโซนตะวันออกเฉียงเหนือยังเติบโตต่อเนื่อง เพราะความต้องการซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยหลังแรกอยู่ในระดับสูง ประกอบกับมีปัจจัยหนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงและมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ภาครัฐ
นายอภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ “KC” เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสแรกของปีนี้ มีการแข่งขันที่รุนแรง เนื่องจากผู้ประกอบการทุกค่ายทุกขนาดต่างจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อเร่งระบายสต็อกสินค้าเมื่อปลายปี 2549 ในขณะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคยังซบเซา สาเหตุจากผู้บริโภคบางส่วนรอความชัดเจนเรื่องดอกเบี้ยที่มีสัญญาณปรับตัวลดลง อีกทั้ง ไม่มั่นใจในสถานการณ์การเมืองและสภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่ตัวเลขปฏิเสธการอนุมัติสินเชื่อของธนาคารโดยรวมยังอยู่ในระดับสูง จึงส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสแรกของปีนี้เติบโตไม่มากนัก สำหรับผลประกอบการของ เค.ซี. ในไตรมาส 1 ปีนี้ พบว่า บริษัทฯ มีรายได้สุทธิ อยู่ที่ 197.48 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 1/2549 ซึ่งอยู่ที่ 245.66 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ด้วยการบริหารจัดการต้นทุนการก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับบ้านที่โอนขายได้ในไตรมาสแรกนี้ เป็นโครงการที่มีกำไรค่อนข้างดี เนื่องจากบางโครงการมีที่ดินต้นทุนราคาเดิม ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 1 ของปีนี้ เพิ่มขึ้นสูงสุดมาอยู่ที่ 47.24% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 38.65% โดยมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 52.44 ล้านบาท ขณะที่ต้นทุนขายรวมลดลงมาอยู่ที่ 104.18 ล้านบาท แต่เนื่องจากไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทฯ มีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 11.92 ล้านบาท จาก 7.29 ล้านบาท ในไตรมาส1/2549 จึงเป็นเหตุให้กำไรสุทธิลดลง มาอยู่ที่ 28.94 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.03 บาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีกำไรสุทธิ 35.14 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.04 บาท อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2549 ที่ผ่านมา ที่มีกำไรสุทธิ 24.07 ล้านบาท กำไรสุทธิในไตรมาสแรกปีนี้ เพิ่มขึ้น 4.87 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20.23%
“รายได้ที่ชะลอตัวลงในไตรมาสแรกปีนี้ เนื่องจากบริษัทฯ มีรายได้จากการขายที่ดินและการรับเหมาก่อสร้างลดลงค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม รายได้หลักจากการขายอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ ซึ่งการที่รายได้ของบริษัทฯ เติบโตอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องทุกไตรมาส ไม่ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมจะอยู่ในภาวะเช่นใด สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในทำเลด้านตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงเทพฯ ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเป็นการขยายตัวจากกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการบ้านหลังแรกเพื่อการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง ไม่ใช่การซื้อเพื่อเก็งกำไร ดังนั้น บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลงอีก และการออกมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ จะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ในทำเลดังกล่าวกลับมาคึกคักมากขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 2 ต่อเนื่องถึงครึ่งปีหลัง เนื่องจากผู้บริโภคที่มีศักยภาพจะตัดสินใจซื้อบ้านเร็วขึ้น ขณะที่ยอดปฏิเสธอนุมัติสินเชื่อจะลดลง เพราะผู้บริโภคมีกำลังซื้อและความสามารถในการผ่อนชำระมากขึ้น ประกอบกับกระแสข่าวที่ว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการระดมความคิดเห็น เพื่อเสนอแก้กฎหมายในการอนุญาตให้เครดิตบูโรสามารถจัดระดับเครดิตในลักษณะสกอริ่ง (scoring) ซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินมีข้อมูลเชิงลึกในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อตามประวัติการชำระเงินของลูกค้า จากเดิมที่พิจารณาจากประวัติการผิดนัดชำระหนี้เพียงอย่างเดียวนั้น ความเคลื่อนไหวดังกล่าวนับเป็นทิศทางที่ดี เนื่องจากปัจจุบันมียอดปฏิเสธอนุมัติสินเชื่อทั้งระบบมากว่า 30% ซึ่งหากมีการปรับมาตรฐานในการวิเคราะห์สินเชื่อให้มีความผ่อนคลายขึ้น จะส่งผลดีให้กับลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง และคนกลุ่มนี้นับเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ นั่นเอง”
ปัจจุบัน เค.ซี. มีโครงการระหว่างดำเนินการทั้งหมด 18 โครงการ โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับราคา 2 — 3 ล้านบาท ภายใต้ชื่อ “เค.ซี.การ์เด้น” “เค.ซี.กรีนวิลล์” และ“เค.ซี.พาร์ควิว” จำนวน 8 โครงการ มีมูลค่าโครงการที่เหลือประมาณ 1,600 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยวระดับราคา 4 ล้านบาทขึ้นไป ภายใต้ชื่อ “เค.ซี. เนเชอรัลวิลล์” และ “เค.ซี. เลควิว” จำนวน 4 โครงการ มีมูลค่าโครงการที่เหลือประมาณ2,500 ล้านบาท โครงการทาวน์เฮ้าท์ ราคา 0.8 — 1.2 ล้านบาท จำนวน 5 โครงการ มีมูลค่าโครงการที่เหลือประมาณ 2,700 ล้านบาท และโครงการจัดสรรที่ดินเปล่า 1 โครงการ มีมูลค่าโครงการที่เหลือประมาณ 360 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับอีก 2 โครงการใหม่ที่เปิดตัวในปีนี้ อันได้แก่ โครงการเค.ซี.เนเชอรัล ซิตี้ (รามคำแหง) เฟส 1 และโครงการเค.ซี. สุวินวงศ์ 2 และที่ดินรอการพัฒนา (Land Bank) มูลค่าประมาณ. 300 ล้านบาท บริษัทฯ จะสามารถดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องได้อีก 3 - 4 ปี
สำหรับความคืบหน้าของโครงการใหม่ 2 แห่ง ได้แก่ โครงการเค.ซี.เนเชอรัล ซิตี้ (รามคำแหง) เฟส 1 ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยว ราคาเฉลี่ย 5.3 ล้านบาท จำนวน 317 ยูนิต มูลค่ารวมโครงการประมาณ 1,680 ล้านบาท ขณะนี้แบบบ้านแล้วเสร็จไปกว่า 90% และอยู่ระหว่างเริ่มสร้างบ้านตัวอย่าง ณ บริเวณโครงการ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเยี่ยมชมและจองได้ในไตรมาส 3 นี้ ส่วนโครงการ เค.ซี. สุวินวงศ์ 2 ซึ่งเป็นโครงการที่มีทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์ ราคาเฉลี่ย 1.13 ล้านบาท จำนวน 940 ยูนิต มูลค่ารวมโครงการประมาณ 1,060 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการถมดินเพื่อปรับพื้นที่ โดยคาดว่าสำนักงานขายและบ้านตัวอย่างจะแล้วเสร็จ พร้อมเปิดให้เยี่ยมชมโครงการและจองได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ เช่นกัน
“สำหรับภาวการณ์แข่งขันในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ มองว่า ยังคงมีความรุนแรง โดยผู้ประกอบการขนาดเล็กและผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาแข่งขันในตลาดได้ยากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดล้วนมาเจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงล่างมากขึ้น ซึ่งสินค้าระดับราคาดังกล่าวมีอัตรากำไรขั้นต้นไม่สูงนัก จึงจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพจากผู้ประกอบการมืออาชีพ ประกอบกับความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์แก่ผู้ประกอบการในการดำเนินโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ เนื่องจากมีสัญญาณที่อาจเกิดโอเวอร์ซัพพลายของอสังหาริมทรัพย์บางประเภทในบางพื้นที่ อีกทั้ง ความไม่แน่นอนของกำลังซื้อผู้บริโภคที่ยังได้รับแรงกดดันจากปัญหาทางการ เมืองและภาวะเศรษฐกิจ สำหรับเค.ซี. ในปีนี้ บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยเฉพาะทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา 1 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวระดับราคา 2 - 3 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบัน ตลาดยังมีความต้องการสูง ขณะที่มีสินค้าในตลาดน้อยลง เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่หันไปพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวสูงมากขึ้น รวมทั้งราคาที่ดินที่ปรับตัวขึ้นสูงในปัจจุบัน เป็นข้อจำกัดสำคัญที่ทำให้การพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวในระดับราคาดังกล่าว เป็นไปได้ยากขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมสำหรับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงด้วยเช่นกัน โดยโครงการคอนโดมิเนียมทั้งสองแห่งอยู่ระหว่างการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวด- ล้อม ซึ่งบริษัทต้องการดูภาวะตลาดอีกครั้ง ก่อนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ” นายอภิสิทธิกล่าว
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
บริษัท เจดี พาร์ทเนอร์ จำกัด
โทร (02) 661-8803-5 โทรสาร (02) 661-8813
E-mail : [email protected]
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net