กรุงเทพฯ--17 ก.ค.--มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์
“...มาออกกำลังกายด้วยกันเถอะ นั่งก็ได้ไม่ต้องยืนหรอก...ทำเท่าที่ทำได้นะ...อย่าฝืน” น้ำเสียงชักชวนห่วงใยของหญิงสูงวัยที่พูดกับผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่มานั่งรออยู่หน้าห้องตรวจภายในศูนย์สุขภาพเมือง พิษณุโลก รพ.พุทธชินราช ชักชวนให้ยกแขน ขยับขา ด้วยท่วงท่าลีลาตามจังหวะและเสียงเพลงที่ไม่ต้องใช้ดนตรีประกอบเพราะออกจากปากของเหล่าบรรดาอาสาสมัครจิตอาสาเพื่อดูแลผู้สูงอายุในโรงพยาบาลพุทธชินราช พร้อมกับเสียงเพลง “สวัสดี สวัสดี วันนี้เรามาพบกัน เธอกับฉัน พบกัน สวัสดี......” เริ่มต้นขึ้น ผู้นำการออกกำลังกายยืดเหยียดวัยเลยเกษียณอายุ 4-5 คน ก็ออกท่าทาง ให้ทำตาม สร้างสีสัน บรรยากาศที่ช่วยทำให้ใบหน้าอมทุกข์ของผู้ป่วยและญาติที่มารอรับการรักษานั้นคลายลง เมื่อความสนใจมาจับอยู่ที่กิจกรรมของคนวัยเดียวกัน อารมณ์ร่วมจึงเกิดขึ้น หลายคนขยับเข้ามาร่วมวง
การออกกำลังกายยืดเหยียด คือหนึ่งในหลายกิจกรรมที่อาสาสมัครชมรมจิตอาสา ศูนย์สุขภาพเมือง พิษณุโลก คิด ริเริ่มกันเองว่าควรจัดกิจกรรมอะไร วันไหนบ้าง มีทั้งไทเก๊ก ลีลาศ โยคะ รำวง และอื่น ๆ ใช้เวลาปฏิบัติการประมาณ 1 ชั่วโมงเศษในช่วงสายของทุกวัน จันทร์-ศุกร์ โดยมีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทำหน้าที่พี่เลี้ยงคอยอำนวยความสะดวกด้านสถานที่และกลุ่มผู้มาใช้บริการเท่านั้น
“กิจกรรมเริ่มตอนสาย ๆ ประมาณ 9.30 น. เมื่อผู้มาใช้บริการผ่านขั้นตอนการตรวจอาการเบื้องต้น ระหว่างรอพบแพทย์หรือรอรับยา กลุ่มไม่ใหญ่เพราะคนไข้บางคนขัดเขินไม่กล้าเข้าร่วม แต่คนไข้บางรายที่มาโรงพยาบาลบ่อยจะรู้ว่าแต่ละวันมีกิจกรรมอะไร บางคนจะมานั่งรอ เพื่อออกกำลังกาย บางคนหมอไม่ได้นัดแต่มาเพื่อออกกำลังกายโดยเฉพาะ ส่วนเจ้าหน้าที่เป็นเพียงพี่เลี้ยง คอยอำนวยความสะดวกและดูแลว่าคนไข้ที่เข้า
สิริพรรณ บอกต่อว่า ผู้สูงอายุที่มาทำอย่างนี้ล้วนเป็นคนมีความรู้ ประสบการณ์ และอยากมาช่วยด้วยใจจริง มีความตั้งใจจะช่วยเหลือสังคม โดยไม่หวังผลตอบแทน คุณลุง คุณป้า คุณตา คุณยาย อาสาสมัครเหล่านี้ยังคงสนุกและมีความสุขกับการได้ร่วมกันคิด ร่วมกันสรรสร้างกิจกรรมเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ การเป็นอาสาสมัครเป็นได้ทั้งผู้ให้และผู้รับ เพราะนอกจากจะได้ทำงานช่วยเหลือสังคมแล้วยังได้เพื่อน ได้ความรู้ใหม่ ๆ เป็นการฝึกทั้งกายและใจให้มีความเสียสละ รู้จักให้และแบ่งปัน เป็นน้ำใจที่ไม่หวังอะไรตอบแทน
และ...น้ำใจนี่เองคือผลตอบแทนที่มีค่ายิ่งที่ทำให้พวกเขาหัวใจฟูทุกครั้งที่ผู้เข้ามาร่วมกิจกรรมเอ่ยชม “ท่าง่ายดี ไม่ยาก ไม่ต้องออกแรงมาก หายเมื่อยเลย หลังไม่ตึงแล้ว.....” เหล่านี้เป็นต้น
“การออกกำลังกายใครทำใครได้ ยายลุกนั่งได้ลองขยับแข้งขายืดเหยียดตามไปก็ได้ ลองทำดู ทำด้วยกัน ไม่ต้องฝืนนะ ทำเท่าที่ทำได้ พร้อมกับเสียงนับ 123456789....เอ้าเปลี่ยนท่า”ป้าแสงเดือน เพชรกระจ่าง แม่บ้านคนเก่งวัย 63 ปี อาสาสมัครจิตอาสาฯ ผู้นำการออกกำลังกายยืดเหยียดในวันนี้ บอกกับคุณยายวัยกว่า 70 ปีที่ตอนแรกไม่กล้า ยังขัดเขินเพราะสถานที่คือ “หน้าห้องตรวจ”ในโรงพยาบาล แต่สุดท้ายก็ออกมาร่วมวง เสร็จแล้วก็ทักทายสนิทสนมคุยกันได้สารพัดเรื่อง ป้าแสงเดือนบอกว่าความภูมิใจของผู้ฝึกสอนหรือคนนำออกกำลังกายคือเวลาที่ทำแล้วผู้ป่วยบางคนบอกว่าชอบเพลง ชอบท่า ทำแล้วหายเมื่อยหายปวด แต่การจะดึงผู้ป่วยหน้าใหม่เข้ามาร่วมทำกิจกรรมก็ต้องอาศัยเทคนิคหลายอย่างซึ่งวิทยากรหรือผู้นำกิจกรรมแต่ละคนก็จะมีวิธีการแตกต่างกันไป วันนี้ป้าแสงเดือนไม่ได้มาคนเดียวแต่มาพร้อมกับเพื่อนจิตอาสาอีกหลายคนทำกันเป็นกลุ่มมาด้วยกันไปด้วยกัน ช่วยกันพูด ช่วยกันร้องจนหน้าห้องตรวจคึกคัก คนไข้บางคนเมื่อหมอตรวจแล้วเสร็จแล้วก็ยังแวะมาร่วมวงก่อนรับยากลับบ้านเมื่อใกล้เที่ยง
“ป้าจี๊ด” อดีตพยาบาลวัย 70 ปีที่ร่วมทำกิจกรรมกับโรงพยาบาลต่อเนื่องมายาวนานก่อนจะมีคำว่า “จิตอาสาในโรงพยาบาล” เสียอีก ป้าจี๊ดบอกว่าการมาทำอย่างนี้ทำให้ตัวเองได้ออกกำลังกายและมีความสุขที่ยังสามารถช่วยคนอื่นได้ บ่อยครั้งติดตามโรงพยาบาลไปออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และเห็นสภาพผู้สูงอายุที่แย่กว่าเรามากทั้งร่างกายและจิตใจก็ได้ช่วยแนะนำตรงนี้
เช่นเดียวกับ ป้าสมบัติ ก้อนดี อายุ 51 ปี เจ้าของร้านขายของชำที่อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาล ซึ่งบอกว่าพอรู้จากชมรมผู้สูงอายุว่ามีการรับสมัครหาจิตอาสาจึงไม่รีรอที่จะสมัคร เพราะอยากทำประโยชน์ให้คนอื่นบ้าง ตัวเองพอมีเวลาว่างและยังแข็งแรงพอที่จะนำคนอื่นได้ ตอนสาย ๆ ป้าก็มาที่โรงพยาบาล มาทำให้ผู้สูงอายุหรือคนไข้ที่มาโรงพยาบาลได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ทำให้เขาสบายใจขึ้น เหมือนเวลาที่ตัวเองมาหาหมอก็มานั่งรอเมื่อไหร่หมอจะเรียก เสร็จแล้วตอนเที่ยงก็กลับบ้าน รู้สึกภูมิใจดี
ยายเชิง เกตุนิล อายุ 70 ปี บอกว่าเป็นภูมิแพ้ต้องมาพบหมอบ่อย ๆ ด้วยอาการจุก ๆ เสียด ๆ ในท้อง เวลานั่งรอพบหมอก็เป็นไปด้วยความไม่สบายใจ คิดมาก พอมีกิจกรรมอย่างนี้ทำให้หายเบื่อ รู้สึกว่าเวลาของเรามีค่า สบายใจมากขึ้น สนุกดี และสังเกตว่าอาการดีขึ้นด้วย ทั้งหมอและพยาบาลที่นี่ก็พูดจาดีและไม่ต้องรอนาน
สำหรับที่นี่...กิจกรรมจิตอาสาไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้สูงอายุ แต่ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่สามารถมาทำได้ทั้งนั้น “ถนัดอะไร ทำอย่างนั้น” ในช่วงปิดเทอมจึงเห็นกลุ่มเยาวชน นักเรียนมัธยมมาทำกิจกรรมผ่อนคลายให้กับผู้ป่วยเช่น การเล่นดนตรีให้ฟัง มาช่วยวัดน้ำหนัก ความดัน ส่วนสูง หรือบางคนก็ไปช่วยแยกขนาดสำลี ผ้าก๊อส เป็นต้น
นพ.นิพัธ กิตติมานนท์ หัวหน้ากลุ่มงานเวชศาสตร์ครอบครัว รพ.พุทธชินราช กล่าวว่า กิจกรรมที่เห็นในโรงพยาบาลเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “จิตอาสาในชุมชน” ซึ่งเป็นอาสาสมัครในชุมชนที่ทำหน้าที่คอยดูแลผู้ป่วยโดยเฉพาะโรคเรื้อรังในชุมชนของตน โดย รพ.พุทธชินราชได้จัดการอบรมให้ โดยมีจุดเริ่มมาจากตอนไปตรวจที่อนามัยแล้วพบว่ามีคนไข้เบาหวาน เป็นอัมพฤต อัมพาตเยอะ เมื่อถามความต้องการก็พบว่ามีความต้องการที่จะให้ญาติของเขามาอบรมเพื่อจะได้กลับไปดูแลที่บ้านได้ รพ.พุทธชินราช จึงจัดอบรมการดูแลผู้ป่วยให้กับญาติโดยรุ่นแรกเปิดรับสมัคร 4 ตำบล ตำบลละ 10 คน มาพูดคุยเรื่องอัมพาต เรื่องโรค เรื่องปัญหาทางจิตของผู้ป่วย ญาติ/คนดูแล มาเรียนรู้โรคและความรู้สึกทางใจด้วยกัน ทั้งทฤษฏีและปฏิบัติ พาไปดูของจริงที่วอร์ดว่าพยาบาลเขาดูแลคนไข้อย่างไร เพื่อให้เขาทำได้จริง ปรากฏว่าได้ผลดีมากทุกด้านทั้งตัวคนผู้ป่วย และญาติ โดยเมื่อญาติ/คนดูแลเข้าใจโรค รู้วีธีดูแลที่ถูกต้อง ผู้ป่วยก็ได้รับการดูแลที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันตัวคนดูแลก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวจากการได้พบได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับญาติของผู้ป่วยคนอื่น ๆ ก็มีความสุขขึ้นไม่ต้องรู้สึก “จำใจ”ในการดูแลผู้ป่วย
ต่อมาจึงมีเสียงเรียกร้องให้โรงพยาบาลจัดอบรมให้อีก เลยเกิดการขยายผลไปในตำบลอื่น ซึ่งคนที่สมัครเข้ามานั้น เกินครึ่งที่ญาติไม่ได้ป่วย ทำให้ได้เห็นว่าเรื่องของ “น้ำใจ” และ “จิตอาสา” นั้นมีอยู่ในสังคมไทย และรอโอกาสที่จะได้แสดงศักยภาพออกมา โรงพยาบาลจึงเปลี่ยนวิธีการ โดยให้เขารวมตัวกันเป็นชมรมจิตอาสาของตำบล มีประธาน มีกรรมการ มีสมาชิก แล้วเชิญสมาชิกของแต่ละตำบลมาอบรม เป็นการให้ชุมชนดูแลจัดการชุมชนเอง
โดยตกลงกันว่าจิตอาสาในชุมชนในตำบลทำภารกิจ 3 อย่าง คือ 1) การดูแลผู้สูงอายุที่ขาดคนดูแล และผู้ป่วยที่เป็นอัมพฤต อัมพาตในชุมชน 2) การค้นหา รักษาและสืบทอด องค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นคลังปัญญาท้องถิ่น 3) เรื่องกายอุปกรณ์ โดยหวังให้กรรมการช่วยกันผลักดันท้องถิ่นให้สามารถสร้างศูนย์ฟื้นฟูขึ้นในชุมชน เพื่อให้คนไข้ที่ต้องทำกายภาพบำบัดไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางและเวลาเพื่อเข้าไปรับบริการจากโรงพยาบาล แต่สามารถทำกายภาพบำบัดได้ที่บ้านที่ชุมชนของตัวเองเช่นที่อนามัย อีกทั้งกายอุปกรณ์เหล่านี้ก็สามารถทำขึ้นเองได้ในท้องถิ่น โดยไม่จำเป็นต้องเป็นอุปกรณ์การแพทย์ราคาแพง
นพ.นิพัธ กล่าวว่า การมีจิตอาสาไม่ได้แปลว่าเจ้าหน้าที่เหนื่อยน้อยลงแต่บรรยากาศมันดีขึ้น เพราะว่าคนส่วนใหญ่อยู่ในบรรยากาศที่ดีมีความสุข ที่นี่ ....อาสา....ไม่เคยหายไปเลย มีกิจกรรมทำกันอย่างต่อเนื่อง มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย มีผลตอบรับที่ดีมาก เมื่อมาทำกิจกรรมในโรงพยาบาลพวกเขาคือทีมเดียวกับบุคลากรทั้งโรงพยาบาล
“น้ำใจ”ที่กลับคืนมาเป็นเหมือนเชื้อเพลิงที่ให้ต่อยอดได้เรื่อย ๆ สิ่งสำคัญคือการชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่ทำเป็นประโยชน์ต่อสังคมหรือคนในชุมชนเอง ซึ่งไม่รู้ว่าวันหนึ่งจะเป็นตัวเขาหรือเปล่า แต่หากชุมชนคนในชุมชนถูกสร้างให้มีน้ำใจและการให้ เมื่อใดก็ตามเป็นตัวเขาเขาก็จะได้รับการช่วยเหลือจากคนในสังคม สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นนี้ต้องขอบคุณผู้บริหารโรงพยาบาลทั้งอดีตและปัจจุบันที่มองการณ์ไกลและสนับสนุนให้ เกิดขึ้นและขับเคลื่อนต่อไป
จากการดูงานจิตอาสาศูนย์สุขภาพเมือง พิษณุโลก รพ.พุทธชินราช ทีมงานสื่อสารสาธารณะ แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ ได้เห็นความพยายามในการสร้างระบบให้คนที่เข้ามารับการรักษาได้รับการดูแลที่ดีขึ้น ได้รับการดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจมากขึ้น ทำให้เห็น “ประตู”โอกาสที่เปิดให้ทุกคนแสดงน้ำใจเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลและสร้างเสริมสุขภาพให้กับผู้ป่วยไม่ว่าจะเป็นการทำในโรงพยาบาลหรือแม้แต่ในชุมชนของคุณเองก็ตาม โดยมีเชื้อเพลิง “น้ำใจ” เป็นตัวกระตุ้น
ผลตอบแทนสูงสุดของ “อาสาสมัครจิตอาสาในโรงพยาบาล” คือ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และคำชื่นชม ที่ผู้ใช้บริการมีให้แก่จิตอาสา มีความหมายและมีค่ายิ่งสำหรับจิตอาสาทุกคน และนี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างดี ๆ ของงานจิตอาสาเพื่อผู้ป่วย.///
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
ศศิธร อบกลิ่น งานสื่อสารสาธารณะ แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์
โทร.0-22701350 ต่อ 113 แฟกซ์ 0-22701350 ต่อ 108
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net