กรุงเทพฯ--21 ส.ค.--ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเม้นท์
"ปกรณ์ บริมาสพร " ระบุผลพวงจากการรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 สร้างความชัดเจนให้การเมืองไทย พร้อมเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนกลับมา เชื่อส่งผลให้การดำเนินธุรกิจในของ L&E มีอัตราการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง โดยสิ้นปีนี้คาดว่ารายได้เติบโต 5-10% จากปีที่แล้วทำได้ 1.5 พันล้านบาท เหตุในช่วงครึ่งปีหลังการลงทุนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นและผู้บริโภคกลับมาใช้จ่ายมากขึ้น ทำให้ธุรกิจไฟฟ้าแสงสว่างปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งเครื่องจักรใหม่เริ่มผลิตได้ตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ทำให้ผลิตสินค้าได้หลากหลายและมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งช่วยกดต้นทุนลดลง
นายปกรณ์ บริมาสพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L&E กล่าวว่าภายหลังจากที่ประชาชนมีมติรับร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 ทำให้การเมืองของประเทศไทยมีความชัดเจนมากขึ้นและเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนกลับมาจากทั้งด้านของการลงทุนและการบริโภค ซึ่งจะส่งผลดีกับเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการดำเนินธุรกิจของบริษัทด้วย โดยคาดว่าแนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลังของ L&E จะมีอัตราการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง
ประกอบกับในช่วงครึ่งปีหลังเป็นช่วงฤดูกาลขายของสินค้าในกลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้าแสงสว่าง ดังนั้นแม้ว่าจะไม่มีการกระตุ้นการซื้อในกลุ่มผู้บริโภคแต่ก็สามารถเติบโตได้ตามฤดูกาล โดยปกติบริษัทมีรายได้จากการขายในครึ่งปีหลังมากกว่าครึ่งปีแรก คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60:40 ขณะเดียวกันตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเครื่องจักรใหม่ของบริษัทได้เริ่มเดินเครื่องผลิตสินค้าแล้ว และคาดว่าจะสามารถใช้กำลังการผลิตได้เต็มที่ในไตรมาสที่ 4/50 ซึ่งจะทำให้สามารถผลิตสินค้าได้หลากหลายและมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นด้วยต้นทุนที่ลดลง
"เครื่องจักรใหม่ที่เริ่มเดินเครื่องผลิตได้ในครึ่งปีหลังนี้จะทำให้กำลังการผลิตทั้งหมดทำได้ 3 ล้านชิ้นต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.5 ล้านชิ้นต่อปี เป็นการเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว แต่ในปีนี้อาจผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นเพียง 30% เนื่องจากเพิ่งจะเดินเครื่องได้ในครึ่งปีหลัง”
นอกจากรายได้จะเติบโตขึ้นตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นแล้ว ในส่วนของกำลังซื้อที่ชะลอตัวไปในช่วงต้นปีเพราะไม่มั่นใจในเรื่องการเมือง น่าจะกลับคืนมาอีกครั้งหลังจากกำหนดการเลือกตั้งมีความชัดเจนขึ้น อีกทั้ง ในช่วงครึ่งปีหลังเป็นฤดูกาลขาย(High Season)ของ L&E ซึ่งยอดขายเติบโตได้เป็นปกติอยู่แล้ว เมื่อรวมกับการผลิตด้วยเครื่องจักรใหม่ที่มีต้นทุนต่ำกว่า เชื่อว่าจะสะท้อนไปที่ผลประกอบการให้ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก
นายปกรณ์กล่าวต่อในช่วงท้ายว่าปีนี้คาดว่าอัตราการเติบโตของรายได้ไว้ที่ 5-10% จากปี 2549 ที่ทำได้ 1,549 ล้านบาท แม้ว่าครึ่งแรกปี 2550 ผลประกอบการจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 4% แต่มั่นใจว่าผลงานในช่วงที่เหลือของปีจะสร้างความประทับใจให้กับผู้ลงทุนได้แน่ ทั้งนี้ในปัจจุบันบริษัทมี Backlog ในมือ 500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ทั้งหมดในปีนี้ นอกจากนี้ก็จะมีงานใหม่ๆ เข้ามาทดแทนเพิ่มขึ้น
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : จิตรลดา จริยวิทยานนท์ 02-2488133 # 203