กรุงเทพฯ--17 ส.ค.--คอมมิวนิเคชั่นส
"เบสท์ เวสเทิร์น" เครือโรงแรมยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของโลก เผยวิสัยทัศน์และ ทิศทางการลงทุนล่าสุดในเอเชียและประเทศไทย หลังการเดินทางเยือนโรงแรมเครือเบสท์ เวสเทิร์นในกลุ่มประเทศแถบเอเชียของคณะผู้บริหารระดับสูง ย้ำชัดเมืองไทยยังคงมีศักยภาพสูงสุดประเทศหนึ่งในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลก ซึ่งเป็นเหตุผลในการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ในประเทศไทยเพื่อเป็นศูนย์กลางในการบริหารงานดูแลกิจการของเครือในเอเชีย พร้อมตั้งเป้าอีก 3 ปีขยายโรงแรมในภูมิภาคเอเชียกว่า 200 แห่ง
มร.เดวิด คอง ประธานเครือและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบสท์ เวสเทิร์น อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทยครั้งนี้ว่า เป้าหมายการดำเนินธุรกิจโรงแรมภายใต้แบรนด์เบสท์ เวสเทิร์น ในอีก 3 ปีข้างหน้านี้ ทางโรงแรมต้องการขึ้นเป็นหนึ่งของเอเชียด้วยจำนวนโรงแรมที่มากที่สุด กว่า 200 แห่งในเอเชีย สำหรับประเทศเป้าหมายสำคัญที่จะเข้าไปขยายหรือลงทุนนั้น ประกอบด้วย ประเทศไทย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และเวียดนาม
“เบสท์ เวสเทิร์น ถือเป็นเครือโรงแรมที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดในเอเชีย โดยปัจจุบันมีโรงแรมจำนวน 100 แห่งทั่วภูมิภาคเอเชีย โดยในปี 2549 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้ในเอเชียประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นกว่า 18% นอกจากนี้ ยังได้ตั้งเป้าว่าในปี 2551 กลุ่มเบสท์ เวสเทิร์นมีแผนที่จะขยายการลงทุนในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง” มร.เดวิด กล่าว
นอกจากนี้ภายในปี 2550 ถึงต้นปี 2551 กลุ่มเบสท์ เวสเทิร์นได้เซ็นสัญญากับโรงแรมอีก 17 แห่ง จากประเทศญี่ปุ่น (10) และอินโดนีเซีย (4) รวมถึงในประเทศไทย ซึ่งจะมีการเปิดโรงแรมเครือเบสท์ เวสเทิร์นอีก 3 แห่ง ดังนี้ โรงแรมเบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ อมารันท์ สุวรรณภูมิแอร์พอร์ต, โรงแรมเบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ อันดามัน ปรินเซส รีสอร์ทแอนด์สปา และโรงแรมเบสท์ เวสเทิร์น เชียงใหม่
สำหรับกลยุทธ์ที่โดดเด่นของเบสท์ เวสเทิร์นที่เป็นปัจจัยให้เกิดการเติบโตแบบก้าวกระโดดนี้ เป็นผลมาจากศักยภาพของเครือในการสร้างเครือข่ายการบริการที่ครอบคลุมสะดวกสบายตั้งแต่ขั้นตอนการจองห้องพัก รวมถึงการบริการห้องพักในราคาที่สมเหตุสมผล และการดูแลรักษามาตรฐานของโรงแรมในเครืออย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการเพิ่มรายได้และประสิทธิภาพทางการวางแผนการตลาด ยังประกอบด้วยการออกแบบโปรแกรมสำหรับนักท่องเที่ยวที่เป็นสมาชิก Gold Crown Club International (GCCI) ซึ่งทำให้โรงแรมในเครือเบสท์ เวสเทิร์น มีความสัมพันธ์ที่เหนี่ยวแน่นกับลูกค้าและพันธมิตร ทั้งหมดนี้ส่งผลให้การวางแผนการตลาดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการรุกสร้างพันธมิตรอย่างต่อเนื่องเพื่อต่อยอดการบริการให้กับลูกค้า อาทิ แอร์เอเชีย, บริการรถเช่าเฮิร์ทซ (Hertz), เอชเอสบีซี, ซิตี้แบงค์, เคทีซี, เอเม็กซ์ เป็นต้น
ทั้งนี้ กลุ่มเบสท์ เวสเทิร์น มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดท่องเที่ยวในเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศไทย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และเวียดนาม เนื่องจากภาพรวมของตลาดมีแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากความพร้อมและนโยบายสนับสนุนจำนวนมาก อาทิ อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ, การพัฒนาของสาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆ, และระดับการศึกษาของประชากรในประเทศ เป็นต้น
มร.เกลน เดอ ซูซา รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เบสท์ เวสเทิร์น อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ภูมิภาคเอเชีย ให้ความเห็นเพิ่มเติมถึงศักยภาพของประเทศไทย ว่า ประเทศไทยถือเป็นประเทศท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชีย ด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติที่เอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่มีความหลากหลาย ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นความพร้อมทั้งในแง่ของการขยายธุรกิจ และการถูกเลือกเป็นจุดยุทธศาสตร์การลงทุนและการขยายแบรนด์เบสท์ เวสเทิร์นในภูมิภาคเอเชีย
สำหรับแนวทางการทำงานของสำนักงาน เบสท์ เวสเทิร์น ประเทศไทย ประกอบด้วย 1. ควบคุมกลยุทธ์การสร้างแบรนด์เบสท์ เวสเทิร์นและรับผิดชอบในการสร้างแผนการขาย และการตลาด 2.กำหนดทิศทางของโรงแรมในเครือในภูมิภาคเอเซีย 3.ควบคุมดูแลใรการเพิ่มศักยภาพในด้านการขายและการตลาดของโรงแรมในเครือในภูมิภาคเอเซีย 4.ดูแลการดำเนินงานของโรงแรมในเครือในด้านระบบการทำงานอื่นๆ และการบริการ
โดยล่าสุด เพื่อเป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในภูมิภาคเอเชีย โรงแรมเบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ ศุภาลัย รีสอร์ต แอนด์ สปา ได้รับเลือกให้เป็นสถานที่ในการจัดงานประชุมสมาชิกผู้บริหารโรงแรมในเครือเบสท์ เวสเทิร์น ประเทศออสเตรเลียประจำปี 2007 ในระหว่างวันที่ 17 — 22 สิงหาคมนี้ ณ จังหวัดภูเก็ต ซึ่งโรงแรมเบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ ศุภาลัย รีสอร์ต แอนด์ สปานี้ ถือเป็นโรงแรมเบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์แห่งล่าสุดในประเทศไทย โดยภายในงานดังกล่าวจะมีผู้บริหาร สมาชิกผู้บริหารโรงแรม นักธุรกิจ และพันธมิตรชาวออสเตรเลียเข้าร่วมงานกว่า 200 คน แน่นอนว่าการจัดงานในครั้งนี้จะเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่จะเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของการเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย
“ในปีนี้เบสท์ เวสเทิร์นมีแผนขยายธุรกิจในไทย โดยจะปรับกลยุทธ์หันมาเน้นการลงทุนและบริหารจัดการโรงแรมโดยตรง จากเดิมที่ดำเนินธุรกิจในลักษณะแฟรนไชส์และให้ความช่วยเหลือในด้านการการขาย และการตลาด ตลอดจนเพิ่มฐานลูกค้าให้กับโรงแรม ซึ่งในปัจจุบันโรงแรมเครือเบสท์ เวสเทิร์น ได้ขยายตัวครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทยมากมาย อาทิ เชียงราย, ภูเก็ต, เกาะสมุย, พัทยา และตะกั่วป่า อีกทั้งล่าสุดเบสท์ เวสเทิร์นได้ดำเนิน กลยุทธ์รุกสร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่อง โดยได้จับมือกับเคทีซีในการออกบัตรเครดิตเคทีซี — เบสท์เวสเทิร์น ไทเทเนียม มาสเตอร์การ์ด ซึ่งเชื่อมั่นว่าความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจทั้งในตลาดธุรกิจท่องเที่ยวและยังเอื้อประโยชน์ในการสร้างแบรนด์ให้กับเบสท์ เวสเทิร์นในภูมิภาคเอเชียต่อไป” มร.เกลน กล่าวในตอนท้าย
เบสท์ เวสเทิร์น อินเตอร์เนชั่นแนล เชนบริหารโรงแรมจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีโรงแรมในเครือกว่า 4,200 แห่ง ใน 80 ประเทศทั่วโลก ภายใต้แบรนด์ เบสท์ เวสเทิร์น ในโรงแรมระดับ 3 ดาว และเบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ ในโรงแรมระดับ 4 ดาว ซึ่งเมื่อปี 2548 มีรายได้จากค่าธรรมเนียมการจองห้องพักทั้งสิ้น 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 8,000 ล้านบาท โดย 41% ของยอดจองห้องพักผ่านอินเตอร์เน็ต www.bestwestern.com และเนื่องจากบริษัทฯ ใช้กลยุทธ์ในการกำหนดราคาต่ำสุดสำหรับลูกค้าที่จองผ่านเว็ปไซด์นี้ ทำให้แต่ละวันบริษัทมียอดจองจากเว็ปไซด์นี้ ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อวัน
ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
พรพรรณ ฉวีวรรณ
บริษัท 124 คอมมิวนิเคชั่นส จำกัด (มหาชน)
โทร 0-2662-2266
www.124comm.com
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net
- พ.ย. ๒๕๖๗ TITLE รุกตลาดคอนโดเทล จับมือ Best Western Inc. แบรนด์โรงแรมยักษ์ใหญ่ของโลก บริหารห้องพัก “The Title หาดราไวย์ เฟส 5” คาดสร้างรายได้ประจำหนุนการเติบโตอย่างมั่นคง
- พ.ย. ๒๕๖๗ ภาพข่าว: GLORIA HOTEL GROUP เครือโรงแรมยักษ์ใหญ่จากไต้หวัน
- พ.ย. ๒๕๖๗ เอเพ็กซ์ฯ จับมือเชนโรงแรมดัง “แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล” บริหาร “The Residences at Sheraton Phuket Grand Bay” ยกระดับเรสซิเดนซ์หรูแนวรีสอร์ท ที่มีโปรแกรมบริหารจัดการให้เช่าแห่งแรกในประเทศไทย