กรุงเทพฯ--20 เม.ย.--ธนาคารกสิกรไทย
ดร. ประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ในไตรมาส 1 ปี 2550 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 3,877 ล้านบาท สูงกว่าระดับที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์กลุ่มธนาคารส่วนใหญ่และตลาดคาดการณ์ไว้เล็กน้อย สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิผลของยุทธศาสตร์ Customer Centric ที่ชัดเจนของธนาคาร ดร.ประสารระบุว่า เครือธนาคารกสิกรไทยมีความพร้อมให้บริการทางการเงินที่ครบวงจรอย่างมีคุณภาพ สนองความต้องการทางการเงินของลูกค้าทั้ง 7 กลุ่มของเครือธนาคารกสิกรไทยได้เป็นอย่างดี ยุทธศาสตร์ดังกล่าวส่งผลให้ผลประกอบการของธนาคารในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ดีกว่าระดับที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลุ่มธนาคารและตลาดคาดการณ์ไว้
เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรก ปี 2549 พบว่า รายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิของธนาคารและบริษัทย่อยในไตรมาสแรก ปี 2550 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 8,823 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.77 ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเคลื่อนไหวสอดคล้องกัน คือเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.53 จาก 3,104 ล้านบาทเป็น 4,207 ล้านบาท ในส่วนของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.98 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2549 ผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net Interest Margin: NIM) ปรับตัวลดลงเล็กน้อยไปอยู่ที่ร้อยละ 3.97 เปรียบเทียบกับที่ร้อยละ 4.05 ในไตรมาส 4 ปี 2549 เนื่องจากการปรับตัวลดลงของอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
ค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยในไตรมาสแรก ปี 2550 อยู่ที่ 6,497 ล้านบาท ซึ่งถือว่ายังอยู่ในระดับที่ต่ำ แต่ก็ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2549 โดย ดร. ประสาร ได้ระบุว่า โครงการยุทธศาสตร์ K-Transformation และ Channel Expansion ของธนาคารยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ สัดส่วนค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยต่อรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิบวกรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย (Cost to Income Ratio) อยู่ที่ร้อยละ 49.86 ในไตรมาสแรกปี 2550 ซึ่งธนาคารคาดว่า อัตราส่วนดังกล่าวจะค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสหลังของปีนี้จากค่าใช้จ่ายลงทุนในโครงการยุทธศาสตร์ทั้งสองโครงการของธนาคาร
สินเชื่อของธนาคารและบริษัทย่อยเติบโตในระดับปานกลางที่ร้อยละ 1.12 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร มีการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญที่ 1,025 ล้านบาทในงบการเงินเฉพาะธนาคาร โดย ดร. ประสารกล่าวเสริมว่า ในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ธนาคารกสิกรไทยจะเน้นการเติบโตอย่างสมเหตุสมผล พร้อมทั้งดูแลคุณภาพของสินทรัพย์อย่างใกล้ชิดเพิ่มขึ้นอีก
ในไตรมาสที่ 1 ปี 2550 สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Gross) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 6.84 เป็นร้อยละ 7.14 โดย ดร. ประสารกล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อด้อยคุณภาพนั้น ส่วนหนึ่งเนื่องจากธนาคารได้ปรับเกณฑ์การปรับโครงสร้างหนี้ให้มีความเข้มงวด และเบ็ดเสร็จมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อด้อยคุณภาพอีกส่วนหนึ่ง มาจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อด้อยคุณภาพที่เข้ามาใหม่ สะท้อนภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และยืนยันความถูกต้องในการยึดถือนโยบายการขยาย สินทรัพย์อย่างรอบคอบและระมัดระวังของธนาคารกสิกรไทย