กรุงเทพฯ--21 ก.พ.--GMM Grammy
นายสุวัฒน์ ดำรงชัยธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัทจีเอ็มเอ็ม ดิจิทัล โดเมน จำกัด หรือ GMMD ได้แถลงถึงทิศทางและภาพรวมปีนี้ว่า จะเป็นจุดเปลี่ยนของแกรมมี่สู่ยุคธุรกิจดิจิทัลอย่างแท้จริง ด้วยปัจจัยและกลยุทธ์สำคัญ 3 ประการคือ 1.เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้การจัดเก็บรายได้ของสินค้าและบริการที่ถูกกฎหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจมิวสิค ดิจิทัลของเอเชียและไทยมีแนวโน้มที่ดีชัดเจนและมีสัญญาณว่าจะก้าวสู่ยุคดิจิทัลเต็มตัว 2.โอกาสทางการตลาดที่จะสร้างรายได้จากสินค้าและบริการที่ถูกกฎหมายมีมากอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นโอกาสที่สอดคล้องกับจุดแข็งของแกรมมี่ 3.การใช้กลยุทธ์ร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นผู้นำของธุรกิจดิจิทัล โดย GMMD จะเน้นการเป็นผู้บริหารคอนเทนต์หรือทำในสิ่งที่ตนถนัด
ดิจิทัล มิวสิค มาแรงทั้งไทยและทั่วเอเชีย
นายสุวัฒน์ให้ภาพเทรนด์ของดิจิทัล มิวสิคไทยว่านับจากปี 50 นี้จะโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการจัดเก็บรายได้จากสินค้าและบริการที่ถูกหมายหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยรายได้มาจาก 2 กลุ่มหลักคือ โมบายซึ่งจะยังคงมีส่วนแบ่งประมาณ 90% และที่เหลือเป็นอินเตอร์เน็ต ในส่วนของโมบายสะท้อนได้จากการเติบโตของจำนวนเลขหมายที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือปี 50 คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 15% หรือ 40 กว่าล้านเลขหมายจาก 35ล้านในปี 49 ส่วนของอินเตอร์เน็ต ปี 50 คาดการณ์ว่าจะมียอดผู้ใช้ประมาณ10 ล้านคน โตกว่าปี 49 ประมาณ 10%
เทรนด์ดังกล่าวนี้สอดคล้องกับเทรนด์ของเอเชียจากข้อมูลของไพรซ์วอเตอร์เฮ้าส์ที่ได้เคยกล่าวไว้ว่า ปี 2005 ตลาดเอเชียที่มีมูลค่า 2.1 พันล้านดอลลาร์ จะเติบโตไปเป็น 5.8 พันล้านดอลลาร์ในปี 2010 หรือเติบโตในอัตราเฉลี่ย 23% ต่อปี โดย 4.8 พันล้านมาจากโมบาย และอีก 1 พันล้านมาจากอินเตอร์เน็ต ด้วยปัจจัย 4 ประการคือ การมีคอนเทนต์ใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การมีอุปกรณ์และบริการเกิดใหม่ การขยายตัวของบอร์ดแบนด์ และกลยุทธ์ราคาที่ดึงดูดมากขึ้น
โอกาสทางการตลาดขึ้นอยู่กับการสร้างพฤติกรรมให้สำเร็จ
นายสุวัฒน์กล่าวต่อว่าถึงเทรนด์จะดี แต่โอกาสทางการตลาดของการจัดเก็บรายได้ของสินค้าและบริการที่ถูกกฎหมายก็ต้องเป็นรูปธรรมด้วย ไม่ใช่ทำตามกระแส ซึ่งเมื่อได้ศึกษาและทดลองมาหลายโครงการ ตนพบว่าปัจจุบันโอกาสทางการตลาดสูงมากคือ
ด้านโมบาย โอกาสทางการตลาดแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่คือ 1.กลุ่มที่ใช้บริการของ GMMD สม่ำเสมออยู่แล้วซึ่งมีอยู่ประมาณ 5 ล้านเลขหมาย จากจำนวนผู้สามารถใช้บริการเสริมได้ 12 ล้านเลขหมายของเครื่อง 35 ล้านเลขหมาย กลุ่มนี้สามารถกระตุ้นให้ใช้เพิ่มขึ้นได้ 2.กลุ่มที่ยังไม่เคยใช้บริการของ GMMD อีก 7 ล้านเลขหมาย ต้องสร้างการทดลองใช้ และ 3.กลุ่มในอนาคตซึ่งจะโตขึ้นเรื่อยๆ คือ ผู้ใช้โทรศัพท์ที่จะอัพเกรดเครื่องมาใช้บริการเสริมได้หรืออีกมากกว่า 23 ล้านเลขหมาย
นอกจากนั้นปีนี้ปัจจัยสนับสนุนอีกประการคือ ปีนี้เป็นปีที่บรรดาโอเปอร์เรเตอร์ของโมบายถือว่าเป็น turning point ที่จะผลักดันให้เข้าสู่ยุค non voice อย่างแท้จริง ซึ่งคอนเทนท์เพลงเป็นส่วนสำคัญของ non voice และแกรมมี่มีคอนเทนท์เพลงมากที่สุด จึงมีโอกาสทางการตลาดเพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่ยุค non voice นี้
กลยุทธ์ของ GMMD ในส่วนโมบายคือ 1.กลุ่มที่ใช้บริการ GMMD สม่ำเสมออยู่แล้ว กระตุ้นให้ใช้เพิ่มขึ้นด้วยการสร้างสรรค์คอนเทนท์และบริการเสริมใหม่ๆให้หลากหลายมากขึ้น 2.กลุ่มผู้ที่เครื่องสามารถใช้บริการเสริมได้ แต่ยังไม่เคยลองบริการของ GMMD สร้างการทดลองด้วยการออกแคมเปญร่วมกับโอเปอร์เรเตอร์ ใช้กลยุทธ์ราคาหลายระดับเพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้นตามกำลังซื้อของตัวเอง สร้างบริการให้ใช้ง่าย ( friendly) 3.สำหรับกลุ่มที่เริ่มจะอัพเกรดเครื่องมาใช้บริการเสริมได้ GMMD จะใช้กลยุทธ์ bundling เพื่อเพิ่มช่องทางบริการดาวน์โหลด โดยร่วมกับกลุ่ม distributor เช่น ร้านจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ และกลุ่มผู้ขายมือถือ
ด้านอินเตอร์เน็ต ทั้งราคาคอมพิวเตอร์และชั่วโมงอินเตอร์เน็ตที่ถูกลง และการที่คนรุ่นใหม่ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นมากขึ้น จะช่วยกระตุ้นให้ตลาดดิจิทัล มิวสิคเติบโตขึ้น นอกจากนั้นยังพบว่าคนไทยนิยมเว็บบันเทิงมากที่สุด ซึ่งเว็บเพลงที่ได้รับความนิยมสูงสุดก็คือเว็บ GMEMBER ของแกรมมี่ ดังนั้นการที่แกรมมี่มีคอนเทนต์และทาเลนต์ของเพลงมากที่สุดในตลาด ซึ่งปัจจุบันก็มีส่วนแบ่งในตลาดดิจิทัล มิวสิคสูงที่สุดด้วย กลยุทธ์ในส่วนของอินเตอร์เน็ตมีทั้งการทำการตลาดกับเจ้าตลาดด้านPCเช่น HP ทำการ bundle โปรแกรม IKEY เวอร์ชันที่สามารถดาวน์โหลดและร้องคาราโอเกะให้บริการ Singing online เป็นรายแรก ซึ่งใช้ง่ายและสะดวก
จากปัจจัยดังกล่าว ภารกิจหลักของ GMMD ในปีนี้จึงเป็นการสร้างพฤติกรรมบริโภคดิจิทัล มิวสิคให้เป็นส่วนหนึ่งของไลฟ สไตล์คนไทย ร่วมมือ 5 กลุ่มพันธมิตรผู้นำด้านดิจิทัล เพิ่มช่องทางกับสร้างบริการใหม่ หวังตลาดและรายได้เติบโตดี
นายสุวัฒน์อธิบายต่อว่า กลยุทธ์หลักเพื่อให้เกิดพฤติกรรมบริโภคดิจิทัล มิวสิคมี 2 ด้าน คือให้บริการหรือสร้างโพรดักส์ที่เน้น Customer Centric ผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง และร่วมมือกับพันธมิตรหรือ Strategic Partner เพื่อช่วยกันสร้างไลฟ สไตล์นี้ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
“ปีนี้ GMMD จะเสนอสินค้าและบริการที่ตอบสนองทั้งลูกค้าและคู่ค้าอย่างตรงจุดดังที่กล่าวมาแล้ว ด้วยกลยุทธ์คุณภาพ (quality) ซึ่งเป็นจุดยืนของทุกธุรกิจแกรมมี่ การขายเป็นแพ็คเก็จรวม (bundling) ราคาหลายทางเลือก (price) และนวัตกรรมของบริการใหม่ (innovative) ใช้ความเป็นสื่อดิจิทัลเต็มความสามารถ ซึ่งก็สอดคล้องกับทิศทางของธุรกิจนี้ในระดับสากล โดยเราจะทยอยเปิดตัวบริการใหม่ในปีนี้อย่างต่อเนื่อง” นายสุวัฒน์สรุป
อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญก็คือการเน้นบทบาทผู้บริหารคอนเทนต์ ไม่ลงทุนในฮาร์ดแวร์ที่ไม่ถนัดอันเป็นการลดความเสี่ยงของธุรกิจ และสรรหาพันธมิตรซึ่งเป็นผู้นำใน 5 กลุ่มสำคัญของธุรกิจดิจิทัล เพื่อร่วมกันกระตุ้นตลาดหรือสร้างพฤติกรรมให้เกิดโดยการเพิ่มช่องทางเข้าถึงผู้บริโภค พันธมิตรทั้ง 5 กลุ่มมีดังต่อไปนี้
1.กลุ่ม operator ได้แก่ AIS DTAC TRUE เพื่อเพิ่มการใช้บริการเสริมของโมบาย เน้นการทำแคมเปญด้วยกลยุทธหลายทางเลือก และบริการให้ลูกค้าได้โหลดฟรีเพื่อให้เกิดการทดลองใช้
2.กลุ่ม website ท็อปไฟว์เว็บบันเทิงได้แก่ sanook.com, pantip.com ,krapook.com, thai2hand.com จะเพิ่มเติมอีกในอนาคต เพิ่มช่องทางการขายคอนเทนต์ โดยการทำตลาดร่วมกัน ทั้งโปรโมรชั่นพิเศษหรือนำคอนเทนต์ของแกรมมี่ไปดิสเพลย์อยู่ในเว็บต่างๆเหล่านี้ เป็นเสมือนการวาง outlet ในที่ซึ่ง traffic ดี แล้วจัดแบ่งรายได้ร่วมกัน
3.กลุ่ม device หรือเครื่องมือ ได้แก่ HP, Nokia, Samart, IMobile,Ipod ซึ่งล้วนมียอดจำหน่ายสูงและลูกค้ามักหมุนเวียนเข้าช็อปหรือศูนย์เป็นประจำเพื่อติดตามสินค้าใหม่ๆหรืออุปกรณ์เสริม GMMD จะนำคอนเทนต์ไป bundling เข้ากับกลุ่มนี้เพื่อขยายช่องทางการขาย
4.กลุ่มapplication หรือ platform คือเจ้าของเทคโนโลยีหรือเจ้าของตัวแทนแพลตฟอร์มตัวแทนหลักในประเทศไทย ได้แก่บริษัทเตียวฮง ไพศาล เพื่อสร้างบริการใหม่ๆ ดังเช่น karaoke online และ Music Game ซึ่งใกล้จะเปิดตัวในเร็ววันนี้
5.กลุ่ม distributor คือ Samart mobile Shop ของกลุ่มสามารถ ซึ่งเป็นเครือข่ายจำหน่ายอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ จะทำให้การบริการดาวน์โหลดเพลงลงบนอุปกรณ์ต่างๆ
“ จากกลยุทธ์ทั้งหมดนี้ GMMD เชื่อว่าจะสร้างรายได้ปี 50 ประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้เราได้ทำสัญญากับคู่ค้าไปแล้วประมาณ 50% ของยอดรายได้”นายสุวัฒน์สรุป