กรุงเทพฯ--14 พ.ย.--เจดี พาร์ทเนอร์
เค.ซี.เผยภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่องและการแข่งขันในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่รุนแรง ฉุดยอดขายบ้านไตรมาส 3 ไม่โตตามคาด แต่ยังเชื่อมั่นตลาดบ้านเดี่ยวปีหน้ามีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนภายหลังการเลือกตั้ง ขณะที่มีคู่แข่งในตลาดแนวราบน้อยลง
เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ ระบุภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร และขยายตลาดของคอนโดมิเนียม เป็นอุปสรรคฉุดความเชื่อมั่นผู้บริโภคให้ชะลอการซื้อบ้าน ส่งผลให้ไตรมาส 3/2550 ยอดขายรวมลดลงอยู่ที่ 139.82 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยังรักษาอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูงได้อย่างต่อเนื่องที่ 46.05% จากการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และมั่นใจผลประกอบการปลาย ปีจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องถึงปีหน้า จากการฟื้นตัวของกำลังซื้อผู้บริโภคหลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง ขณะที่มีสินค้าบ้านคงค้างในตลาดจำนวนไม่มากในปัจจุบัน
นายอภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ “KC” เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ ในไตรมาส 3/2550 รายได้สุทธิลดลงมาอยู่ที่ 139.82 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2549 ซึ่งมีรายได้สุทธิ 211.15 ล้านบาท เนื่องจากกำลังซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบหลายด้าน ทั้งจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัว ราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง อีกทั้ง ยอดปฏิเสธการอนุมัติสินเชื่อโดยรวมยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายบางส่วนของบริษัทฯ หันไปซื้อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม อย่างไรก็ตาม ด้วยการบริหารจัดการต้นทุนการก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับบ้านที่โอนขายได้ในไตรมาส 3 นี้ เป็นโครงการที่มีกำไรค่อนข้างดี เนื่องจากบางโครงการมีที่ดินต้นทุนราคาเดิม ทำให้บริษัทฯ สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูงที่ 46.05% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2549 ซึ่งอยู่ที่ 39.97% โดยต้นทุนขายรวมและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ลดลงตามรายได้มาอยู่ที่ 75.44 ล้านบาท และ 48.16 ล้านบาท ตามลำดับ เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2549 ซึ่งอยู่ที่ 126.76 ล้านบาท และ 51.03 ล้านบาท ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ด้วยรายได้รวมที่ลดลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลงในอัตราส่วนที่น้อยกว่ารายได้ จึงเป็นสาเหตุให้กำไรสุทธิไตรมาส 3/2550 นี้ ลดลงมาอยู่ที่ 4.87 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.01 บาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2549 ซึ่งอยู่ที่ 20.60 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.02 บาท
สรุปผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2550 พบว่า บริษัทฯ มีรายได้สุทธิ 488.76 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้สุทธิ 707.43 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 46.34% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 41.05% เนื่อง จากบริษัทฯ สามารถบริหารจัดการต้นทุนในการก่อสร้างได้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรายได้ที่ลดลงตามการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวม จึงทำให้ผลประกอบการงวด 9 เดือน ของปีนี้ บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 45.08 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.05 บาท เทียบกับงวด 9 เดือนของ 2549 ที่มีกำไรสุทธิ 99.00 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.11 บาท
“ปี 2550 นี้ นับว่าเป็นปีที่เป็นจุดต่ำสุดของโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบ พบว่ายอดขายของโครงการทุกระดับลดลงอย่างมาก จนเป็นเหตุให้มีการชะลอการเปิดโครงการใหม่ไปกว่า 50% ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมมีอัตราการเติบโตสูงมากเป็นประวัติการณ์ ผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายเล็กกว่า 70% หันไปพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม เพื่อรักษายอดรายได้ของบริษัทฯ สำหรับเค.ซี. ที่บริษัทฯ มีความชำนาญและมุ่งเน้นพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก จึงทำให้แนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ของเราอาจต่ำกว่าประมาณการณ์ที่ได้คาดไว้ ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาดโดยรวม อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทฯ จะมียอดขายลดลง แต่ด้วยการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ จึงทำให้บริษัทฯ ยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับกว่า 40% ได้มาอย่างต่อเนื่อง
ในปีหน้า บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าตลาดแนวราบจะมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในตลาดหันไปพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ทำให้ปัจจุบันมีสินค้าแนวราบคงค้างในตลาดจำนวนไม่มาก ขณะที่การเปิดโครงการแนวราบใหม่ๆ เพื่อพัฒนาสินค้าบ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท และทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา 1-3 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อมากที่สุดในขณะนี้ จะทำได้ยากขึ้นในอนาคต เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องต้นทุนราคาที่ดิน ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่สามารถพัฒนาโครงการแนวราบเพื่อตอบรับการฟื้นตัวของตลาดในปีหน้า จะเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาด หรือบริษัทที่เน้นการพัฒนาสินค้าแนวราบมาอย่างต่อเนื่องเท่านั้น” นายอภิสิทธิ์กล่าว
แผนการลงทุนในปีหน้า บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ด้านตะวันออกของกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นรูปแบบโครงการและทำเลที่บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญและเป็นผู้นำตลาดต่อไป โดยบริษัทฯ เน้นขยายการลงทุนในโครงการเดิมเป็นหลัก ซึ่งขณะที่มีทั้งหมด 21 โครงการ มีมูลค่าโครงการรวมประมาณ 7,500 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการบ้านเดี่ยวระดับราคา 2 — 3 ล้านบาท ภายใต้ชื่อ “เค.ซี.การ์เด้น” “เค.ซี.กรีนวิลล์” และ“เค.ซี.พาร์ควิว” จำนวน 9 โครงการ โครงการบ้านเดี่ยวระดับราคา 4 ล้านบาทขึ้นไป ภายใต้ชื่อ “เค.ซี. เนเชอรัลวิลล์” และ “เค.ซี. เลควิว” จำนวน 4 โครงการ โครงการทาวน์เฮ้าท์ ราคา 0.8 — 1.2 ล้านบาท จำนวน 5 โครงการ และโครงการจัดสรรที่ดินเปล่า 1 โครงการ ซึ่งเมื่อรวมกับอีก 2 โครงการใหม่ ที่เปิดตัวในไตรมาส 4 นี้อันได้แก่ โครงการเค.ซี.เนเชอรัล ซิตี้ (รามคำแหง) เฟส 1 และโครงการเค.ซี. สุวินทวงศ์ 2 เฟส 1 อีกทั้งที่ดินรอการพัฒนา (Land Bank) มูลค่าประมาณ 400 ล้านบาท บริษัทฯ จะสามารถดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องได้อีก 3 - 4 ปี สำหรับแผนงานที่จะเปิดโครงการใหม่หรือซื้อที่ดินเพิ่มนั้น จะพิจารณาภาวะตลาดก่อน และเนื่องจากขณะนี้บริษัทฯ ยังมีกระแสเงินสดและวงเงินกู้ที่ยังไม่เบิกจากธนาคารเพียงพอสำหรับการพัฒนาโครงการที่มีอยู่ในมือ จึงยังไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนในอนาคตอันใกล้นี้
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
บริษัท เจดี พาร์ทเนอร์ จำกัด
โทร (02) 661-8803-5 โทรสาร (02) 661-8813
E-mail : [email protected]