กรุงเทพฯ--9 มี.ค.--โอเอซิส มีเดีย
เผย "สุชาติ เชาวิศิษฐ"รัฐมนตรีคลังย้ำชัด แผนปรับโครงสร้างหนี้สูตร "ประชัย เลี่ยวไพรัตน์" ลงตัว เนื่องจากรักษาความเป็นธรรมทุกฝ่าย ทั้งเจ้าหนี้ ลูกหนี้และผู้ถือหุ้นรายย่อย ด้าน"ประชัย"โชว์ผลประกอบการทีพีไอ 2 เดือนแรกปีนี้ทะลุ 3,000 ล้านบาท พร้อมเสนอปรับงบการเงินทีพีไอใหม่
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ในฐานะผู้บริหารลูกหนี้ของ บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด(มหาชน)หรือทีพีไอ เปิดเผยว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาตนได้ติดต่อ นายสุชาติ เชาว์วิศิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นผู้บริหารแผนทีพีไอตัวจริงตามคำสั่งศาลล้มละลายกลาง เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแผนปรับโครงสร้างหนี้ทีพีไอตามที่ตนได้เสนอ ซึ่งในเบื้องต้นรัฐมนตรีฯคลังได้ให้ความเห็นชอบกับแผนดังกล่าวแล้ว โดยเฉพาะประเด็นสำคัญก็คือ แผนปรับโครงสร้างหนี้ที่ตนเสนอนั้น จะเป็นการรักษาผลประโยชน์ของทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรม ทั้งฝ่ายเจ้าหนี้ ลูกหนี้ และผู้ถือหุ้นรายย่อย ซึ่งต่างจากแผนปรับโครงสร้างหนี้ที่เสนอโดยนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ และพล.ท.บัญชร ชวาลศิลป์ ตัวแทนนายบุญคลี ปลั่งศิริ ที่เสนอให้ลดทุนเหลือ 1.60 บาท และลดหนี้ลงเหลือครึ่งหนึ่ง(ประมาณ 1,300 ล้านเหรียญ)อันเป็นแผนที่เจ้าหนี้และลูกหนี้ไม่ยอมรับ ซึ่งหมายความว่า จะต้องสู้กันถึงขั้นศาลฎีกา
ในข้อเท็จจริงหากดูจากผลประกอบการของทีพีไอ ระหว่างเดือนมกราคม-กุมพาพันธ์ 2547 ปรากฏว่า มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาหรือ EBITDA จำนวน 1,674,949 บาท และ 1,531,385 บาทตามลำดับ และปัจจุบันมูลค่าหุ้นที่แท้จริงของทีพีไออยู่ที่ประมาณ 22 บาทต่อหุ้น ซึ่งหากมีการลดทุนเหลือ 1.60 บาทต่อหุ้น จะสร้างความเสียหายอย่างมากต่อทุกฝ่าย โดยเฉพาะเจ้าหนี้ที่ไม่มีการค้ำประกันหนี้ ลูกหนี้ รวมถึงผู้ถือหุ้นรายย่อยอีกจำนวนมาก ซึ่งจากการหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงได้ข้อสรุปในเบื้องต้นว่า กระทรวงการคลังจะต้องรักษาผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น โดยเฉพาะประชาชนผู้ถือหุ้นรายย่อยหลายหมื่นรายไม่ให้ได้รับความเสียหายจากการลดทุนของทีพีไอตามข้อเสนอของนายศิริและพล.ท.บัญชร
นายประชัย กล่าวต่อว่า สำหรับข้อเสนอแผนปรับโครงสร้างทางการเงินทีพีไอ มีดังนี้คือ
1.เสนอให้ลดหนี้ของทีพีไอจาก 2,640 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้เหลือเพียง 500 ล้านดอลลาร์ หนี้ทีพีไอที่หายไป 2,140 ล้านดอลลาร์ พร้อมดอกเบี้ย 752 ล้านดอลลาร์ ระหว่างปี 2541-2543 เป็นหนี้รวม 2,892 ล้านดอลลาร์ เสนอแปลงเป็นทุนในราคา 20 บาทต่อหุ้น หรือเท่ากับ 5,845 ล้านหุ้น (รวมสัดส่วน 75 %) เพื่อแทนหุ้นที่เจ้าหนี้แปลงดอกเบี้ยค้างชำระเป็นทุนไปแล้วอย่างไม่เป็นธรรม ในราคาต่ำเพียง 5.52 บาทต่อหุ้น
2. เสนอจ่ายดอกเบี้ย 3.50 % หรือเท่ากับ MLR-1 สำหรับเงินกู้สกุลบาท และ LIBOR +1 สำหรับเงินกู้สกุลต่างประเทศ
3. กำหนดให้ชำระหนี้คืนภายใน 4 ปี โดยผ่อนชำระปีละ 125 ล้านดอลลาร์ หรือถ้ามีเงินเหลือก็ชำระมากขึ้นได้ ซึ่งตามประมาณการอาจชำระคืนได้ภายใน 2 ปี
4. โรงกลั่นควรกลั่นน้ำมันเฉลี่ย 1.8 แสนบาร์เรลต่อวัน แต่อาจเพิ่มปริมาณการผลิตได้อีก 3.5 หมื่นบาร์เรลต่อวัน
5. เสนอบังคับใช้สิทธิผู้ถือหุ้นทีพีไอเดิมซื้อคืน มีกำหนดเวลา 4 ปี คือ จะซื้อราคา 20 บาทต่อหุ้น บวกดอกเบี้ย MLR
6. ธนาคารไอเอฟซี หรือเจ้าหนี้รายอื่น สามารถใช้สิทธิแปลงหนี้เป็นหุ้นกู้แปลงสภาพ( Zero Coupon Convertible Bond) โดยมีกำหนดเวลาชำระคืน 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 6 % ต่อปี หรือจะแปลงเป็นหุ้นราคา 50 บาทต่อหุ้น
7. หลังดำเนินการตามแผนดังกล่าว ทีพีไอจะกลายเป็นบริษัทที่น่าลงทุน โดยมีค่าเฉลี่ย 4 ปี สำหรับอัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ย โดยพิจารณาจากอัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ย (ICR) 53.2 เท่า และอัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ยและเงินต้นเท่ากับ 3.2 เท่า และมีมูลค่าหุ้น 20 บาทต่อหุ้น โดยใช้วิธีคำนวณจากกระแสเงินสดส่วนลด(DCF)
นายประชัย ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้ตนได้เสนอให้มีการปรับงบทางการเงินของทีพีไอใหม่ในส่วนของผู้ถือหุ้น โดยเฉพาะกรณีที่บริษัทได้รับคืนหุ้นที่ถือโดยเจ้าหนี้พร้อมปรับปรุงย้อนกลับงบการเงินใหม่ ทั้งนี้เพื่อที่จะศึกษาหามูลค่าทางบัญชีของทีพีไออย่างเหมาะสม ปรากฏว่า มูลค่าตามบัญชีของส่วนผู้ถือหุ้นมีราคา 22.74 บาทต่อหุ้น หลังจากได้ทำการปรับปรุงย้อนกลับในรายการที่ถูกลดมูลค่าทรัพย์สินที่กระทำโดยอีพีแแอล(ผู้บริหารแผนที่แต่งตั้งโดยเจ้าหนี้) เป็นจำนวนเงิน 41,839 ล้านบาท และย้อนกลับรายการดอกเบี้ยค้างชำระไปเป็นทุนในราคาที่ไม่เป็นธรรมแล้ว(ในราคา 5.50 บาทต่อหุ้น)
"โดยสรุปแล้ว หากผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอชุดปัจจุบัน ได้ดำเนินการตามแผนปรับโครงสร้างหนี้ทางการเงินที่เสนอโดยนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ก็ไม่จำเป็นต้องลดทุนทีพีไอตามที่ตกเป็นข่าว เพราะบริษัทมีเงินสดหมุนเวียนเพียงพออยู่แล้ว โดยไม่ต้องใช้เงินเพิ่มทุนจากธนาคารพาณิชย์ และที่สำคัญเจ้าหนี้ทีพีไอจะได้รับการชำระหนี้คืนเกิน 100 % และรัฐบาลไม่จำเป็นต้องใช้เงินแผ่นดินมาสนับสนุนทีพีไออีกด้วย" นายประชัยกล่าวในที่สุด--จบ--
-นห-