กรุงเทพฯ--18 มี.ค.--บีโอไอ
พินิจ จารุสมบัติ นำคณะนักธุรกิจไทยกว่า 30 คน ศึกษาลู่ทางขยายการลงทุนในเวียดนาม พร้อมเข้าพบนายกฯ เวียดนามและรัฐมนตรีด้านการลงทุน เพื่อหารือแนวทางผ่อนปรนกฎระเบียบด้านการลงทุนแก่นักลงทุนไทยที่ลงทุนในเวียดนาม
นายสมพงษ์ วนาภา เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 24-27 มีนาคม นี้ นายพินิจ จารุสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จะนำคณะพร้อมนักธุรกิจประมาณ 30 คน เดินทางไปศึกษาโอกาสและลู่ทางการลงทุนที่กรุงฮานอย และนครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม
ในการเดินทางครั้งนี้ คณะจะมีโอกาสได้พบกับนายฟาม วัน ได นายกรัฐมนตรีของเวียดนาม รวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ดูแลด้านการลงทุนของเวียดนามคือกระทรวงวางแผนและการลงทุนและกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งนับเป็นโอกาสดีที่จะได้หารือทิศทางนโยบายส่งเสริมการลงทุนของเวียดนาม ตลอดจนปัญหาอุปสรรค และแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดกับนักลงทุนไทยในเวียดนาม เช่น สิทธิในการถือครองที่ดิน อัตราภาษีนำเข้าวัตถุดินที่ค่อนข้างสูง หรือปัญหาเรื่องอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่มีอัตราไม่แน่นอน เป็นต้น
นอกจากนี้ยังจะมีการจัดสัมมนา เกี่ยวกับโอกาสในการลงทุนในเวียดนาม รวมทั้งโอกาสในการลงทุนในนครโฮจิมินห์ และจังหวัดใกล้เคียง ร่วมกับหอการค้าและอุตสาหกรรมของเวียดนาม การรับฟังปัญหาและอุปสรรคในการลงทุนในเวียดนามของนักลงทุนไทย รวมถึงการเยี่ยมชมโรงงานและนิคมอุตสาหกรรมด้วย
นายสมพงษ์ กล่าวว่าเป้าหมายในการเดินทางไปประเทศเวียดนามในครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการสานต่อยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศที่กำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายไว้ 3 ประเภท ได้แก่ อุตสาหกรรมที่เสริมความเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคของไทยและประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ อุตสาหกรรมที่มีข้อจำกัดในการลงทุนในไทย และอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพเพื่อเป็นการหาตลาดใหม่ เท่านั้น แต่ยังเป็นการขยายผลยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของรัฐบาล และต่อยอดผลการประชุมหารือของคณะรัฐมนตรีร่วมไทย-เวียดนาม ในด้านความร่วมมือส่งเสริมการลงทุน เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาด้วย
ประเทศเวียดนามเป็นประเทศที่เริ่มเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ลงนามความตกลงทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2543 และมีผลบังคับใช้เมื่อปี 2545 ที่ผ่านมา ทำให้ได้รับสิทธิพิเศษด้านภาษีในการนำสินค้าเข้าสหรัฐฯ หลายประเภท ซึ่งธุรกิจที่ลงทุนในเวียดนามก็จะได้รับสิทธิประโยชน์นั้นด้วย ถือเป็นข้อได้เปรียบประการหนึ่งของการลงทุนในเวียดนาม
ทั้งนี้อุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพในการลงทุนในประเทศเวียดนาม ได้แก่ อุตสาหกรรมแปรรูป เกษตร อุตสาหกรรมสาธารณูปโภคและบริการต่างๆ อุตสาหกรรมเหมืองแร่ โดยเฉพาะแร่บ็อกไซด์ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น
สำหรับการลงทุนจากต่างชาติในเวียดนามในปัจจุบันมีมูลค่ารวม 40,498 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยถือเป็นนักลงทุนจากต่างประเทศอันดับ 9 ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 1400 ล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของการลงทุนจากต่างชาติทั้งหมด และมีจำนวนโครงการรวม 118 โครงการ ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมหนัก เช่น ปิโตรเคมี พลาสติก เหมืองแร่ ชิ้นส่วนยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง แปรรูปเกษตร ฯลฯ ที่มีมากถึง 34 โครงการ รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมเบา มี 20 โครงการ เช่น รองเท้า ของใช้สำหรับเด็ก ฯลฯ ที่เหลือส่วนใหญ่ เป็นอุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค เช่น โรงแรม นิคมอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว ฯลฯ
ประเทศที่มีการลงทุนอันดับ 1 ถึง 5 ได้แก่ สิงคโปร์ มูลค่า 7,360 ล้านเหรียญสหรัฐ ไต้หวัน มูลค่า 5,888 ล้านเหรียญสหรัฐ ญี่ปุ่น มูลค่า 4,471 ล้านเหรียญสหรัฐ เกาหลี มูลค่า 4,038 ล้านเหรียญสหรัฐ และฮ่องกง มูลค่า 3,009 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับกลุ่มนักธุรกิจไทยที่ร่วมเดินทางไปเวียดนามในครั้งนี้ ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องจักร อุปกรณ์ และชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและพลาสติก อัญมณี ฯลฯ--จบ--
-ชพ/กภ-