กรุงเทพฯ--10 มิ.ย.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตของ บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "BBB+" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,500 ล้านบาท (RCL096A) ของบริษัทที่ระดับ "BBB" โดยสะท้อนความเป็นผู้นำในตลาดผู้ประกอบการขนส่งทางเรือระดับภูมิภาคจากความได้เปรียบในเรื่องขนาดของกองเรือ ความถี่ในการให้บริการ และอายุเฉลี่ยของกองเรือ อันดับเครดิตยังสะท้อนความสามารถของทีมผู้บริหารและแนวโน้มของความต้องการการขนส่งสินค้าทางทะเลโดยใช้ตู้สินค้าหรือตู้คอนเทนเนอร์ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ความผันผวนของธุรกิจขนส่งทางเรือ การแข่งขันที่รุนแรง และอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทที่ค่อนข้างสูงซึ่งเป็นลักษณะของธุรกิจที่ใช้ทุนสูงทริสเรทติ้งรายงานว่า จากการศึกษาของ Containerisation International โดยเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการทั่วโลกแล้ว บริษัทอาร์ ซี แอลจัดอยู่ในกลุ่มผู้ประกอบการขนส่งทางเรือ 40 รายที่มีขนาดกองเรือที่ใหญ่ที่สุดโดยพิจารณาจากจำนวนของเรือที่มีการเช่าระวางและดำเนินการขนส่งจริง บริษัทมีเรือในครอบครอง 23 ลำ และมีเรือเช่าระวาง 13 ลำ รวมปริมาณบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ทั้งสิ้น 35,000 ตู้ (TEU) ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในกองเรือคอนเทนเนอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จากข้อมูลทางสถิติของการท่าเรือสิงคโปร์และตัวแทนในท้องถิ่นของบริษัท บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงที่สุดสำหรับเรือฟีดเดอร์ (Feeder) หรือเรือขนส่งสินค้าขนาดเล็กระหว่างท่าเรือย่อยกับเรือเดินสมุทรในเส้นทางสิงคโปร์กับฟิลิปปินส์ กับมาเลเซีย และกับไทย และมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 2 ในเส้นทางระหว่างสิงคโปร์กับอินโดนีเซีย การที่บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดในระดับสูงเนื่องมาจากความถี่ของการให้บริการต่อสัปดาห์และขนาดของกองเรือโดยเฉลี่ยที่มีขนาดใหญ่ซึ่งสามารถขนส่งสินค้าได้เป็นจำนวนมาก
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัทอาร์ ซี แอลมีข้อได้เปรียบคู่แข่งจากการมีกองเรือซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรือของตนเอง ซึ่งทำให้ง่ายต่อการจัดตารางเวลาและมีความถี่ในการให้บริการสูง ในขณะที่คู่แข่งมีกองเรือที่มีขนาดเล็กและมีความถี่ในการให้บริการที่น้อยกว่า เรือส่วนใหญ่ของบริษัทมีอายุน้อยโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 10 ปี ซึ่งต่ำกว่าอายุเฉลี่ยของเรือของผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งมีอายุระหว่าง 7-21 ปี บริษัทใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูงในการซื้อเรือใหม่ แต่เรือใหม่ก็มีความได้เปรียบในเรื่องของการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและใช้แรงงานน้อยกว่า การลงทุนสูงในการซื้อเรือใหม่ดังกล่าวในอีก 2 ปีข้างหน้าทำให้บริษัทมีสัดส่วนหนี้สินต่อโครงสร้างเงินทุนที่อ่อนแอลงโดยจะอยู่ในระดับ 58%-72%
นอกจากนี้ ทีมผู้บริหารของบริษัทโดยเฉพาะผู้ก่อตั้งซึ่งเป็นคนไทยนั้นยังมีประสบการณ์ยาวนานในการบริหารกิจการเดินเรือ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทประกอบไปด้วยชาวไทยและสิงคโปร์ที่มีประสบการณ์ยาวนานในสายการเดินเรือระดับโลก นอกเหนือจากธุรกิจดั้งเดิมคือการบริการขนส่งตู้สินค้าให้แก่เรือเดินสมุทร (SOC) บริษัทยังได้ขยายธุรกิจไปสู่บริการขนส่งตู้สินค้าโดยใช้ตู้สินค้าของตนเอง (COC) ธุรกิจ SOC ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโลกและการตัดสินใจของผู้ประกอบการเรือเดินสมุทร ในขณะที่ธุรกิจ COC จะขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคและลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการในหลากหลายธุรกิจ
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ธุรกิจการเดินเรือมีลักษณะเป็นวงจรขึ้นและลง ซึ่งวงจรแต่ละรอบกินเวลาประมาณ 5-6 ปี โดยมีแนวโน้มที่รอบเวลาจะลดลง อัตราค่าระวางมีความผันผวนและเป็นเรื่องยากที่ผู้ประกอบการจะกำหนดเวลาในการต่อเรือใหม่ให้พอดีกับช่วงขาขึ้นของธุรกิจ อุปสงค์ของธุรกิจการเดินเรือจะขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจและการค้า โดยที่ภาวะเศรษฐกิจและการค้าของโลกจะมีผลกระทบต่อธุรกิจ SOC ในขณะที่การค้าภายในภูมิภาคเอเซียจะมีผลมากต่อธุรกิจ COC ทั้งนี้ จากการประมาณการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศที่ระบุใน World Economic Outlook การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ 3.9% ในปี 2546 และคาดว่าจะอยู่ที่ 4.6% ในปี 2547 GDP ของเอเซียโต 7.8% ในปี 2546 และคาดว่าจะอยู่ที่ 7.4% ในปี 2547 สำหรับปริมาณการค้าของโลกนั้นมีอัตราการเติบโต 5.2% ในปี 2546 เพิ่มขึ้นจากระดับ 3.1% ในปี 2545 The World Economic Outlook ยังประมาณการว่าปริมาณการค้าโลกจะโตประมาณ 7.1% ในปี 2547 และ 6.7% ในปี 2548 --จบ--
-นท-
- ๑๙ พ.ย. เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ตอกย้ำธุรกิจแข็งแกร่ง คงอันดับเครดิต "A" แนวโน้ม "Stable" จาก TRIS ยาว 4 ปีซ้อน
- ๑๘ พ.ย. ทริสปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ BBGI เป็น "A" แนวโน้ม Stable
- ๑๘ พ.ย. "บางจาก ศรีราชา" แข็งแกร่งได้รับการเพิ่มอันดับเครดิตเป็น "A+" โดยทริสเรทติ้ง ตอกย้ำความสำเร็จการผนึกกำลังกับกลุ่มบริษัทบางจาก