กรุงเทพฯ--21 มิ.ย.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัดยืนยันอันดับเครดิตระดับ "AAA" ของหุ้นกู้มีการค้ำประกัน (Medium-Term Note -- MTN) มูลค่าวงเงิน 30,000 ล้านบาท ซึ่งได้รวมถึงหุ้นกู้มีการค้ำประกัน 6,000 ล้านบาท (GECL077A) ของบริษัท จีอี แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) (GECAL) โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการค้ำประกันโดยบริษัทแม่คือ General Electric Capital Corporation (GECC) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ "AAA" และ "Aaa" จากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) และมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส (มูดี้ส์) ตามลำดับ ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยกเลิกอันดับเครดิตองค์กรของ GECAL ตามความประสงค์ของบริษัทเนื่องจากบริษัทหันไปเน้นรูปแบบการระดมทุนโดยใช้การค้ำประกันโดยบริษัทแม่ ทั้งนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงการค้ำประกันของบริษัทแม่คือ GECC แบบไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้ นอกจากนี้ GECC ยังเป็นบริษัทลูกของ General Electric Capital Services, Inc. (GECS) บริษัทลูกของ General Electric Company (GE) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรในระดับ "AAA" และ "Aaa" จากเอสแอนด์พีและมูดี้ส์เช่นกัน โดยอันดับเครดิตของ GE เป็นผลมาจากความแข็งแกร่งของรายได้ที่สม่ำเสมอที่มาจากธุรกิจที่หลากหลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งความหลากหลายของธุรกิจช่วยกระจายความเสี่ยงและสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอให้แก่บริษัทในกลุ่ม GE แม้จะมีความผันผวนทางการค้าเกิดขึ้นกับธุรกิจบางประเภทของบริษัทก็ตาม
ทริสเรทติ้งรายงานว่า เงื่อนไขของการค้ำประกันบังคับใช้ภายใต้กฎหมายของมลรัฐนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่าบริษัทแม่ผู้ค้ำประกันจะให้การค้ำประกันหุ้นกู้ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้ โดยผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดชอบภาระหนี้และดอกเบี้ยแห่งการค้ำประกันทันทีหาก GECAL ซึ่งเป็นผู้ออกตราสารผิดนัดชำระหนี้โดยที่ผู้ถือหุ้นกู้ไม่ต้องแจ้งไปยังผู้ค้ำประกัน เงื่อนไขของการค้ำประกันเป็นการคุ้มครองผู้ถือหุ้นกู้โดยผู้ถือหุ้นกู้จะต้องมั่นใจได้ว่าความเสี่ยงทางการเงินของตราสารหนี้ที่มีการค้ำประกันนี้จะเทียบเท่ากับความเสี่ยงของตราสารหนี้ไม่ด้อยสิทธิอื่นๆ ของผู้ค้ำประกัน และเงื่อนไขใดใดของการค้ำประกันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยปราศจากการยินยอมของมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ นอกจากนี้ ในกรณีที่ผู้ค้ำประกันมีการควบรวมกิจการกับบริษัทใดใดและเกิดเป็นบริษัทใหม่ บริษัทใหม่นั้นจะต้องรับภาระหนี้แทนผู้ออกตราสารเดิม อย่างไรก็ตาม ผลบังคับใช้ตามกฎหมายของเงื่อนไขการรับประกันนี้จะถูกจำกัดในกรณีที่ผู้ค้ำประกันถูกฟ้องล้มละลายและเลิกกิจการ โดยให้นำทรัพย์สินขายทอดตลาดเพื่อนำมาใช้หนี้ตามคำสั่งศาล ถึงแม้การค้ำประกันหุ้นกู้นี้จะอยู่ภายใต้กฎหมายของมลรัฐนิวยอร์ค แต่การฟ้องร้องผู้ค้ำประกันก็สามารถกระทำได้ที่ศาลไทย อย่างไรก็ตาม ศาลไทยจะไม่มีสิทธิสั่งให้มีการพิทักษ์ทรัพย์ใดใดในทรัพย์สินของบริษัทผู้ค้ำประกันที่อยู่นอกราชอาณาจักรไทยในกรณีที่การฟ้องร้องเกิดจากการที่ผู้ค้ำประกันไม่รับภาระหนี้ตามสัญญาการค้ำประกัน
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า GECC ก่อตั้งในปี 2486 ที่มลรัฐนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยดำเนินธุรกิจที่สำคัญ 4 ประเภท ได้แก่ การให้บริการทางการเงินเพื่อการพาณิชย์ การให้บริการทางการเงินสำหรับสินค้าอุปโภคและบริโภค การให้บริการทางการเงินสำหรับการบริหารจัดการเครื่องจักรอุปกรณ์และบริการอื่นๆ และการรับประกันภัย การกระจายการผลิตสินค้าและการให้บริการทางการเงินไปในภูมิภาคทั่วโลกของ GECC มีผลทำให้บริษัทสามารถสร้างรายได้รวมจากธุรกิจทั้งหมดของบริษัทได้อย่างสม่ำเสมอ การทำรายได้จากธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความเข้มแข็งช่วยลดทอนผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจบางประเภทที่มีความอ่อนแอได้ นอกจากนี้ GECC ยังใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการซื้อกิจการต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดการขยายธุรกิจของบริษัทไปทั่วโลก สินทรัพย์รวมของทุกธุรกิจของ GECC ขยายตัวจาก 439 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2545 เป็น 506 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2546 โดยบริษัทมีอัตราการขยายตัวในปี 2546 ที่ระดับ 15.3% ซึ่งสูงกว่า 15.2% ในปี 2545 เล็กน้อย
GE ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ GECC ยังมีสัญญาที่จะต้องรักษาสัดส่วนรายรับจากดอกเบี้ยและค่าเช่าต่อรายจ่ายดอกเบี้ยของ GECC ให้อยู่ในระดับที่กำหนดไว้ ดังนั้น GE จึงมีข้อผูกมัดในการช่วยเพิ่มทุนให้แก่ GECC ในกรณีที่ GECC มีสัดส่วนหนี้ต่อทุนเกินกว่า 8:1 เท่า อย่างไรก็ตาม ในปี 2546 บริษัทแม่ของ GECC ได้ช่วยลดภาระหนี้จาก 12.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเป็น 4.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2546 โดยบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะลดการสนับสนุนด้านหนี้สินจากบริษัทแม่ทั้งหมดภายในปี 2548 นอกจากนี้ GECC ยังได้ลดการจ่ายเงินปันผลให้แก่ GECS เป็น 10% จากรายได้จากการดำเนินงานเพื่อที่จะคงสัดส่วนรายได้จากการดำเนินงานให้มากขึ้น GECC ได้พัฒนาระบบการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพจากประสบการณ์ที่ยาวนานในการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ในแต่ละธุรกิจ สัดส่วนของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และสินเชื่อที่มีระดับรายได้ลดต่ำลงต่อบัญชีลูกหนี้การค้าของธุรกิจหลักทั้ง 4 ประเภทลดลงเล็กน้อยจากระดับ 1.9% ในปี 2545 เป็น 1.8% ในปี 2546 นอกจากนี้ สัดส่วนสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของบริษัทต่อบัญชีลูกหนี้การค้าของธุรกิจหลักทั้ง 4 ประเภทก็อยู่ในระดับต่ำเพียง 2.71% ณ สิ้นปี 2545 และ 2.70% ณ สิ้นปี 2546 ทริสเรทติ้งกล่าว--จบ--
-นท-