กรุงเทพฯ--30 ก.ค.--บีโอไอ
บีโอไอ จับมือสภาอุตสาหกรรมฯ นำคณะนักธุรกิจไทย ขยายโอกาสการลงทุนไทย-จีนในเซี่ยงไฮ้ และมณฑลเจียงซู และ พร้อมรุกลงนามความตกลงเป็นพันธมิตรด้านเศรษฐกิจและการลงทุนกับจีนเป็นฉบับที่ 5 ตั้งเป้าขยายธุรกิจ-การค้า-การลงทุนระหว่างไทยกับจีน
นายสมพงษ์ วนาภา เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 3 - 8 สิงหาคม 2547 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) พร้อม นายประพัฒน์ โพธิวรคุณ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและผู้บริหาร จะนำคณะ นักธุรกิจ-นักลงทุนไทยชั้นนำ รวมกว่า 40 คน อาทิ บริษัทอมตะคอร์ปอเรชั่น บริษัทไทยโพลีเอสเตอร์ จำกัด บริษัทสยามสตีลอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยบริดจสโตน จำกัด เดินทางไปขยายโอกาสและลู่ทางการลงทุน พร้อมขยายความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนต่อเนื่อง ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน ในเมืองและมณฑลหลักทางเศรษฐกิจ ได้แก่ มหานครเซี่ยงไฮ้ และมณฑลเจียงซู
นายสมพงษ์ กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่นักธุรกิจไทยซึ่งจะเข้าไปลงทุนในจีนควรรู้ ไม่ใช่แค่ รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือรู้จักคน ซึ่งหมายถึงผู้ร่วมลงทุน ผู้จำหน่ายวัตถุดิบ และบุคคลในวงราชการที่เกี่ยวข้อง เพราะการมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลเหล่านี้จะทำให้การลงทุนในจีนเป็นไปด้วยความราบรื่น เนื่องจากกฎระเบียบหลายอย่างในจีนยังไม่มีความชัดเจน แต่ขึ้นอยู่กับการตีความของเจ้าหน้าที่ค่อนข้างมาก หากเรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าหน้าที่ระดับต่าง ๆ ก็จะได้รับความสะดวกในการทำธุรกิจยิ่งขึ้น
ดังนั้นการจัดคณะนักธุรกิจไปจีนในครั้งนี้ บีโอไอจึงได้มีพิธีลงนามความตกลงร่วมมือระหว่าง บีโอไอ กับ China Council for the Promotion of International Trade, Jiangsu Sub-Council (CCPIT) ของมณฑลเจียงซู ซึ่งนับเป็นความตกลงฉบับที่ 5 ที่บีโอไอลงนามกับจีนโดยจะสอง
หน่วยงานจะร่วมมือกันในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเศรษฐกิจการลงทุน การส่งเสริมให้เกิดการลงทุนระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย รวมทั้งการสนับสนุนการจัดกิจกรรมด้านการชักจูงการลงทุน
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา บีโอไอได้ลงนามความตกลงร่วมมือกับหน่วยงานของจีนไปแล้วจำนวน 4 หน่วยงาน ได้แก่ CCPIT ของกรุงปักกิ่ง , CCPIT ของมณฑลยูลนาน , CCPIT ของมณฑลเสฉวน รวมทั้ง Council for the Promotion of International Trade (CPIT) และ Chamber of International Commerce (COIC) ของมหานครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งหลังจากที่ได้มีลงนามความร่วมมือกันแล้ว บีโอไอก็ได้ประสานงานกับหน่วยงานเหล่านี้ ในการนำคณะนักธุรกิจเดินทางไปจัดกิจกรรมส่งเสริมและชักจูงการลงทุนทั้งสิ้นถึง 7 ครั้ง นับจากต้นปี 2547 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งก่อให้เกิดความสะดวกในการข้อมูลและคำปรึกษาที่เชื่อถือได้ และบีโอไอยังสามารถประสานงานในกรณีที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษอีกด้วย อาทิ การเจรจาเพื่อช่วยแก้ไขปัญหา หรือบรรเทาปัญหาให้กับนักลงทุน เพื่อให้การลงทุนเป็นไปด้วยความสะดวกมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการจัดสัมมนาเกี่ยวกับนโยบาย FTA ระหว่างอาเซียน กับ จีน ศักยภาพและลู่ทางในด้านการค้าการลงทุนระหว่างไทยและจีน รวมทั้งการลงนามความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจการลงทุนระหว่างภาคเอกชนไทย-จีน คือ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กับ Shanghai Federation Of Industry and Commerce (SFIC) และ Jiangsu Federation Of Industry and Commerce (JFIC)
สำหรับเหตุผลที่บีโอไอเลือกจัดกิจกรรมที่เมืองเซี่ยงไฮ้ และมณฑลเจียงซู เนื่องจาก เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองเป้าหมายในการดึงดูดการลงทุนจากจีนมาไทยและจากไทยไปจีน เป็นมหานครที่มีความเจริญมากที่สุดแห่งหนึ่งของจีน มีผลิตภัณฑ์มวลรวมเท่ากับร้อยละ 5.2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศจีน อุตสาหกรรมหลักได้แก่ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ ยานยนต์ ปิโตรเคมี เหล็ก ยา เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น อีกทั้งเซี่ยงไฮ้ยังเป็นเมืองที่มีนักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนเป็นจำนวนมาก อาทิ บริษัทเจียไต๋ ของกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ สหยูเนี่ยน เซี่ยงไฮ้ TOA Paint เป็นต้น
ส่วน มณฑลเจียงซู นั้น เป็นมณฑลที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 รองจากมณฑลกวางตุ้ง เป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่ ถ่านหิน ปิโตรเคมี ก๊าซธรรมชาติ มีพืชเศรษบกิจที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว ข้าวสาลี ฝ้าย และถั่ว จึงมีศักยภาพสูงที่นักลงทุนไทยจะเข้าไปลงทุนในมณฑลนี้ ส่วนอุตสาหกรรมที่ควรนักลงทุนในมณฑลเจียงซูมีศักยภาพเข้ามาลงทุนในไทย ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องกล อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมโลหะภัณฑ์ และอุตสาหกรรมเบา
สำหรับนักธุรกิจและนักลงทุนที่ร่วมเดินทางไปในครั้งนี้ ประกอบด้วยนักธุรกิจ-นักลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยายนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมบริการ อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมแฟชั่น (เครื่องนุ่งห่ม , เครื่องหนัง , อัญมณีและเครื่องประดับ) และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม--จบ--
--อินโฟเควสท์ (นท)--