กรุงเทพฯ--9 ธ.ค.--สนพ.
พรหมินทร์ ย้ำหนัก ปี 48 ลุยพลังงานทดแทนเต็มตัว หวังดันการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มเป็น 8% ก่อนปี 54 พร้อมวางยุทธศาสตร์หนุนชุมชนที่มีศักยภาพเป็นผู้ผลิตเอง คาดมีเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 3.5 หมื่นล้าน
นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังนำคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมโครงการผลิตแก๊สชีวภาพจากมูลช้าง ที่ จ.เชียงราย ว่า ในปี 2548 เป็นต้นไป กระทรวงพลังงาน พร้อมจะเร่งผลักดันนโยบายการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้น ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานทดแทนอย่างยั่งยืน โดยพร้อมจะดันเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนจาก 0.5 % เป็น 8 % ภายใน 10 ปี หรือภายใน 2554 ให้เร็วขึ้น โดยปัจจุบันพบว่ามีสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนจากภาคต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นจนอยู่ที่ระดับ 1-2 % แล้ว
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงาน จะสนับสนุนให้ผู้ผลิตไฟฟ้า เพิ่มสัดส่วนในการพัฒนาพลังงานทดแทน โดยโรงไฟฟ้าใหม่ต้องผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในส่วน 3-4 % ของกำลังผลิต ให้รับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานทดแทน อาทิ พลังงานจากแก๊สชีวภาพต่างๆ จากของเสียทั้งมูลสัตว์และน้ำเสีย จากสิ่งของเหลือใช้ภาคเกษตร เป็นต้น
โดยรัฐให้การสนับสนุนในด้านการให้สิทธิพิเศษและเงินอุดหนุนจากกองทุนอนุรักษ์พลังงาน รวมทั้งจะให้การสนับสนุนส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ที่มีศักยภาพ เพื่อให้เกิดการสร้างงานและเงินหมุนเวียนในชุมชน ซึ่งกระทรวงพลังงานคาดว่าจะมีเงินไหลเวียนในชุมชนไม่ต่ำกว่าปีละ 35,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานโดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) จะเร่งส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง โดยจะมุ่งเน้นศักยภาพพลังงานทดแทนที่ประเทศมีสูงสุด ได้แก่ พลังงานจากแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำจากเขื่อนขนาดเล็ก พลังงานลม พลังงานจากชีวมวล เช่น วัสดุเหลือใช้จากภาคเกษตร ขยะมูลฝอยจากชุมชน และจะส่งเสริมการให้ชุมชนร่วมเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานทดแทน
“ราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ปรับเพิ่มสูงขึ้น มานานกว่า 1 ปี และแนวโน้มที่จะเห็นราคาน้ำมันลดต่ำลงคงเป็นไปได้ยาก แต่กระทรวงพลังงานก็เชื่อว่านี่เป็นโอกาสที่ดีของประเทศไทย ที่จะพลิกวิกฤตราคาน้ำมันแพง ให้เป็นโอกาสในการสร้างพลังงานทดแทนต่าง ๆ ขึ้นใช้เองในประเทศ นอกจากจะทำให้ลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ และประหยัดเงินตรางบประมาณของชาติแล้ว ยังถือเป็นการส่งเสริมเพื่อเปลี่ยนบทบาทประเทศไทยเป็นเจ้าของแหล่งพลังงานเอง และเป็นการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานยั่งยืนอีกด้วย” นายแพทย์พรหมินทร์กล่าว--จบ--