ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร หุ้นกู้ และตั๋วแลกเงิน “สยามพาณิชย์ลีสซิ่ง” ระดับ “A-” พร้อมแนว โน้ม “Stable”

พฤหัส ๑๖ ธันวาคม ๒๐๐๔ ๐๘:๔๒
กรุงเทพฯ--16 ธ.ค.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กร ตราสารหนี้ และตั๋วแลกเงินของ บริษัท สยามพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A-” ซึ่งสะท้อนการมีคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ คุณภาพสินทรัพย์ในระดับที่รับได้ รวมทั้งสัมพันธภาพที่ดีและยาวนานกับผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความสำเร็จในการขยายสาขาไปยังภูมิภาคที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจเช่าซื้อของบริษัทเพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันที่รุนแรงในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และเป็นการกระจายแหล่งรายได้ของบริษัท อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนด้วยการแข่งขันที่รุนแรงจากการเข้าสู่ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ใหม่ของบริษัทที่ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อในเครือของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ และการเข้าสู่ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์มือสองของบริษัทเงินทุนขนาดใหญ่ ในขณะที่แนวโน้มอันดับเดรดิต “Stable” หรือ “คงที่” ของบริษัทสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่เป็นไปตามที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้แม้ว่าต้นทุนทางการเงินของบริษัทจะค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นและสภาพการแข่งขันที่ยังคงความรุนแรงก็ตาม บริษัทจะสามารถคงสถานะทางการตลาดและดำรงสินเชื่อที่หยุดรับรู้รายได้ในระดับต่ำไว้ได้โดยอาศัยประสบการณ์ที่ยาวนานของคณะผู้บริหารและการมีขั้นตอนการอนุมัติสินเชื่อที่ระมัดระวัง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ณ สิ้นเดือนกันยายน 2547 สินเชื่อเช่าซื้อรวมของบริษัทสยามพาณิชย์ลีสซิ่งอยู่ที่ 32,880 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากสิ้นปี 2546 โดยบริษัทสามารถอนุมัติสินเชื่อเช่าซื้อใหม่เฉลี่ยที่ 1,750 ล้านบาทต่อเดือนในปี 2547 ซึ่งมากกว่าที่ประมาณการไว้ที่ 1,580 ล้านบาทต่อเดือน กำไรสุทธิในงวด 9 เดือนแรกของปี 2547 อยู่ที่ 690 ล้านบาท มากกว่าในช่วงเดียวกันของปี 2546 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 593 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ผลจากการแข่งขันที่รุนแรงทำให้บริษัทจำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นเพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวมเพิ่มสูงขึ้นเป็น 18.40% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2547 จาก 17.31% ในช่วงเดียวกันของปี 2546 อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถคงส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายไว้ที่ระดับ 4%-5% มาตั้งแต่ปี 2543 อัตราผลตอบแทนลดลงจาก 13.92% ในปี 2542 มาอยู่ที่ 11.89% ในปี 2544 เนื่องจากบริษัทเงินทุนขนาดใหญ่ได้ดำเนินธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์โดยใช้กลยุทธ์ด้านราคาประกอบกันแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลาดังกล่าวที่ลดลง อัตราผลตอบแทนได้ลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 10.57% ในปี 2545 ที่ 9.69% ในปี 2546 และ 8.93% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2547 อย่างไรก็ตาม ต้นทุนทางการเงินโดยเฉลี่ยของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง และหุ้นกู้ที่ออกในปี 2546 (SPL073A) และปี 2547 (SPL073B) มีอัตราดอกเบี้ย 3.20% และ 3.85% ตามลำดับ ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทโดยเฉลี่ยลดลงจาก 5.37% ในปี 2545 เป็น 4.02% ในปี 2546 และ 3.67% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2547
บริษัทมีการบริหารสินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการอย่างระมัดระวังส่งผลให้มีระดับสินเชื่อที่หยุดรับรู้รายได้ในระดับต่ำคือ 1.96% ของสินเชื่อรวมเฉลี่ย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2547 สินเชื่อเช่าซื้อของบริษัทซึ่งคิดเป็น 93% ของสินเชื่อรวมมีอัตราส่วนสินเชื่อเช่าซื้อที่หยุดรับรู้รายได้ต่อสินเชื่อเช่าซื้อรวมที่ระดับ 0.76% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2547 บริษัทมีสาขาในต่างจังหวัด 9 สาขาซึ่งมีสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อใหม่ต่อสินเชื่อเช่าซื้อใหม่รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 51% ในปี 2545 มาอยู่ที่ 55% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2547 โดยสาขาเหล่านี้ช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขันกับบริษัทเงินทุนและบริษัทที่ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อขนาดใหญ่ในเครือของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ซึ่งมีสาขาในต่างจังหวัดเช่นเดียวกันได้ บริษัทสามารถดำรงสถานะทางการตลาดโดยการกระจายแหล่งที่มาของรายได้นอกเหนือจากเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลซึ่งมีระดับการแข่งขันที่รุนแรง บริษัทมีแผนจะเปิดสาขาในต่างจังหวัดเพิ่มอีกในปี 2548
สินเชื่อรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2542 ณ สิ้นเดือนกันยายน 2547 สินทรัพย์รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 300% จากสิ้นปี 2542 ซึ่งมากกว่าส่วนของผู้ถือหุ้นที่เพิ่มขึ้น 198% ในช่วงเวลาเดียวกัน สัดส่วนของหนี้สินต่อทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 2.64 เท่าในปี 2543 มาอยู่ที่ 5.68 เท่า ซึ่งเข้าใกล้สัดส่วน 8 เท่าตามที่ระบุไว้ในข้อกำหนดสิทธิของการออกหุ้นกู้ บริษัทจึงจำเป็นต้องปรับปรุงโครงสร้างเงินทุนเพื่อลดความเสี่ยงจากการขยายสินเชื่อโดยการกู้ยืม ในช่วงแรก ผู้บริหารคาดว่าใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญชุดที่ 2 (SPL-W2) ของบริษัทจะมีการใช้สิทธิและสามารถเพิ่มฐานทุนของบริษัทได้ อย่างไรก็ตาม ใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าวคาดว่าจะหมดอายุโดยไม่มีการใช้สิทธิครั้งสุดท้ายเนื่องจากราคาหุ้นสามัญของบริษัทในปัจจุบันที่ 34 บาทต่อหุ้น (9 ธันวาคม 2547) ยังต่ำกว่าราคาใช้สิทธิที่ 35 บาทต่อหุ้น ดังนั้น การปรับปรุงโครงสร้างเงินทุนของบริษัทให้ดีขึ้นอาจมาจากการเพิ่มทุนใหม่หรือจากการแปลงสินเชื่อปัจจุบันของบริษัทให้เป็นหลักทรัพย์ ทริสเรทติ้งกล่าว--จบ--

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version