มะเร็งตับและปากมดลูกครองแชมป์โรคมะเร็งในผู้ป่วยชายและหญิงของไทยขณะนี้

กรุงเทพ--11 พ.ย.--กระทรวงสาธารณสุข
วันนี้ (11 พฤศจิกายน 2540) เวลา 08.45 น. ณ โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ รัชดาภิเษก กทม.พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาธินัดดามาตุ ทรงเป็นประธานในการเปิดประชุมวิชาการโรคมะเร็งแห่งชาติ ครั้งที่ 4 โดยมี นายแทพย์ปรากรม วุฒิพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้กล่าวรายงาน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า สถานะการณ์การเกิดโรคมะเร็งในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นสาเหตุการตายอันดับ 3 รองจาก อุบัติเหตุ และโรคหัวใจ โดยมีอัตราตาย 109 รายต่อประชากรแสนคน ซึ่งความเข้าใจของคนไทยทั่วไปอาจจะคิดว่ามะเร็งเป็นโรคที่เกิดขึ้นเองไม่มีทางจะควบคุมป้องกันได้ แต่ในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าโรคมะเร็งสามารถป้องกัน และรักษาให้หายได้หากพบในระยะแรก
สำหรับโรคมะเร็งที่พบใน 5 อันดับแรก เพศชาย คือ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะ อาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งช่องปาก เพศหญิงคือ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งช่องปาก สาเหตุการเกิดโรคมะเร็งมีปัจจัยทั้งภายในและนอกร่างกาย ภายในร่างกายสาเหตุที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ กรรมพันธุ์ ความผิดปกติของพันธุกรรมความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน และภาวะจากการขาดอาหารเช่น ขาดวิตามินเออาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในระบบทางเดินหายใจ ขาดวิตามินซีเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร ส่วนปัจจัยภายนอกร่างกายเกิดจาการที่ได้รับมลพิษจากสิ่งแวดล้อม เช่น ควันบุหรี่ การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์และให้โทษต่อร่างกาย เครื่องดื่มที่เป็นสารเสพติด น้ำ อากาศ ยารักษาโรค เครื่องสำอาง ฯลฯ จากการศึกษาพบว่าผู้ป่วยโรคมะเร็ง มีสาเหตุจากปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอกกว่าร้อยละ 90
กระทรวงสาธารณสุขโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติได้ตระหนักถึงปัญหานี้จึงได้จัดให้มีการประชุมวิชาการโรคมะเร็งแห่งชาติ ครั้งที่ 4 ขึ้นในหัวข้อเรื่อง "มะเร็งที่พบบ่อยในคนไทย" โดยจัดในระหว่างวันที่ 11-13 พฤศจิกายน 2540 ที่โรงแรมดิเอมเอมรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กทม. ผู้เข้าร่วมประชุม 800 คนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน วัตถุประสงค์ของการจัดประชุม เพื่อให้แพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ นักวิชาการและผู้ที่ปฎิบัติงานเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง รับทราบถึงความก้างหน้าทางเทคโนโลยีในการป้องกันควบคุม ตลอดถึงจนการรักษาโรคมะเร็ง แลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นและประสบการณ์ ซึ่งสามารถนำไปพัฒนาการรักษาโรคมะเร็งของคนไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น--จบ--