"คางคกผัดเผ็ด"...อาหารที่ไม่ควรลอง

จันทร์ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๑๙๙๘ ๑๙:๐๔
กรุงเทพ--16 ก.พ.--กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เตือนนักเปิบพิศดาร "คางคกผัดเผ็ด" อาจได้รับพิษตกค้างจนถึงตาย เพราะพิษในตัวคางคกเป็นพิษที่ทนต่อความร้อนแม้จะปรุงสุกแล้วก็ยังเป็นอันตราย จึงไม่ควรนำเนื้อหรือส่วนต่าง ๆ ของคางคกมารับประทาน
ดร.เรณู โกยสุโข อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยถึงกรณีที่มีผู้บริโภค "คางคกผัดเผ็ด" แล้วเกิดอาการอาหารเป็นพิษจนถึงแก่ความตายว่า โดยปกติชาวชนบทจะบริโภคคางคกค่อนข้างน้อย จึงมักไม่ค่อยมีรายงานการเกิดพิษ แต่จากการศึกษาของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทราบว่า คางคกเป็นสัตว์ในตระกูล มูโฟนิดี (Bufonidae) ประเภทเดียวกับกบ แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ คางคกตามบ้านทั่วไปและคางคกพันธุ์ใหญ่ ที่ผิวหนังบริเวณใกล้หูของคางคกทั้ง 2 ชนิดจะมีต่อมที่เรียกว่า "พาไรทอยด์" ซึ่งต่อมนี้สามารถขับน้ำเมือกที่มีสารพิษออกมาได้หลายอย่าง และยังพบสารพิษในเลือดของคางคกทั้ง 2 ชนิด ซึ่งสารพิษที่พบส่วนใหญ่ได้แก่ บูโฟไดอีน สารดิจิทาลอยด์ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ต่อหัวใจและสารอัลคาลอยด์อีกหลายชนิดที่มีปริมาณน้อย รวมทั้งสารประกอบชนิดอื่นที่มีฤทธิ์ทำให้ระคายเคืองและคันบริเวณผิวหนัง ซึ่งสารพิษดังกล่าวอยู่บริเวณผิวหนังของตัวคางคก
สารพิษประเภท บูโฟไดอีนและดิจิทาลอยด์นี้เป็นสารพิษชนิดที่ทนต่อความร้อน ถึงแม้ผู้บริโภคจะปรุงสุกแล้วสารพิษดังกล่าวก็จะยังคงอยู่และมีอันตรายเท่าเดิม เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วหลายชั่วโมงจึงจะมีอาการเกิดพิษ โดยเริ่มจาก คลื่นไส้ อาเจียร เบื่ออาหาร ปวดท้อง หรือถ้ารับประทานมากเกินไปก็จะทำให้การไหลเวียนของโลหิตไม่ดี เกิดอาการอ่อนเพลีย เวียนศรีษะ และมีอาการทางระบบรับความรู้สึก เช่น เพ้อ สับสน ง่วงซึม ความจำเลอะเลือน หมดสติและตายในที่สุด
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวในตอนท้ายว่า ปัจจุบันการรักษาผู้ป่วยที่เกิดจากการบริโภคชิ้นส่วนต่าง ๆ ของคางคก แพทย์มักจะใช้วิธีการล้างท้องเพื่อไล่อาหารที่ตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารออกให้หมด และรับประทานโปตัสเซียมคลอไรด์ โดยผสมในน้ำผลไม้ให้ดื่มทุก ๆ 4 ชั่วโมง ถ้าผู้ป่วยดื่มไม่ได้ก็จะต้องให้ทางหลอดเลือดดำ โดยให้ตามขนาดที่เหมาะสมกับระดับโปตัสเซียมในเลือดที่ลดลง หรือรักษาตามอาการ เช่น ถ้าชีพจรเต้นช้า ก็ให้อะโทรปีน ถ้าผู้ป่วยอาเจียนหรือถ่ายอุจจาระบ่อยก็ให้มอร์ฟีน ซัลเฟต และให้ยาอื่น ๆ ตามอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ขณะนี้ยังไม่มียารักษาหรือแก้พิษที่เกิดจากการบริโภคคางคกโดยเฉพาะได้ ผู้บริโภคจึงไม่ควรบริโภคเนื้อหรือชิ้นส่วนใด ๆ ของคางคก และหากพบผู้ป่วยที่เกิดจากสาเหตุดังกล่าวก็ควรนำผู้ป่วยส่งแพทย์โดยเร็ว เพื่อแพทย์จะได้รักษาผู้ป่วยได้ทันท่วงทีต่อไป--จบ--

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๑ ก.พ. รฟท. จัดรถไฟส่งผู้ชุมนุมขบวนคนจนเมืองเพื่อสิทธิที่อยู่อาศัย เครือข่ายสลัม 4 ภาค กลับภูมิลำเนาโดยสวัสดิภาพ
๒๑ ก.พ. BCPG เผยผลการดำเนินงานปี 2567 กำไรสุทธิกว่า 1,800 ล้านบาท เติบโต 65% จากปีก่อน พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลัง
๒๑ ก.พ. เกรท นำทีมศิษย์เก่า ฟอส-แบงค์ ฉลองครบรอบ 40 ปี ม.รังสิต เปิดตัว คริส หอวัง กับบทบาท ครูผู้ฮีลใจนักศึกษา แห่งสถาบัน
๒๑ ก.พ. ธนาคารกรุงเทพ ประกาศจ่ายเงินปันผล หุ้นละ 8.50 บาท สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2567
๒๑ ก.พ. GULF เคาะแล้ว! อัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้อายุ 4-10 ปี ที่ 3.00 - 3.55% ต่อปี พร้อมเสนอขายประชาชนทั่วไป 27-28 ก.พ. และ 3 มี.ค.68 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 10
๒๑ ก.พ. Selena Gomez, benny blanco, Gracie Abrams ส่งเพลงสนุกๆ โดนใจ Gen-Z Call Me When You Break Up การรวมตัวของอเวนเจอร์วงการเพลงป็อปที่ทุกคนรอคอย!
๒๑ ก.พ. MBK Care อาสาทำดี ปันน้ำใจสู่สังคม ปฏิทินเก่ามีค่า เราขอ ปีที่ 7 ส่งมอบความสุขเพื่อผู้พิการทางสายตา พร้อมสิ่งของอุปโภคบริโภค
๒๑ ก.พ. บางจากฯ ปรับโครงสร้างธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวของกลุ่มบริษัทบางจาก
๒๑ ก.พ. สวยทุกลุค ชมพู่ - อารยา ถ่ายทอดไลฟ์สไตล์ของสาว GUESS ในแคมเปญคอลเลกชัน Spring Summer 2025 สีสันแห่งฤดูกาลใหม่
๒๑ ก.พ. วช. เปิดศูนย์การเรียนรู้โดรนเพื่อการเกษตร ต้นแบบการยกระดับประสิทธิภาพภาคการเกษตรของจังหวัดกาฬสินธุ์ ณ