กรุงเทพ--26 ม.ค.--บรรษัทฯ
คณะกรรมการบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมีมติให้บรรษัทเรียกชำระค่าหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 272 ล้านหุ้น และเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนรุ่นใหม่อีกจำนวน 272 ล้านหุ้น รวมทั้งสิ้น 544 ล้านหุ้น กำหนดวันจองซื้อและชำระเงินค่าหุ้นทั้ง 2 ส่วนพร้อมกัน ระหว่างวันที่ 2-8 มีนาคม 2542
นายอโนทัย เตชะมนตรีกุล กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัท ได้ให้สัมภาษณ์แก่ผู้แทนสื่อมวลชนว่า คณะกรรมการบรรษัทซึ่งได้ประชุมเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2542 ได้มีมติเกี่ยวกับการออกจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุนของบรรษัทดังนี้
ส่วนที่ 1 ให้เรียกชำระค่าหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 272,397,232 หุ้น ตามที่ได้มีมติอนุมัติให้จัดสรรหุ้นเพิ่มทุนแก่ผู้ถือหุ้นที่มีชื่อตามทะเบียน ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2541 และได้เลื่อนการเรียกชำระออกไปไม่มีกำหนด เนื่องจากภาวะตลาดไม่อำนวย แต่ในขณะนี้มีความเหมาะสมที่จะเรียกชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนได้แล้ว โดยกำหนดให้สิทธิในการจองซื้อ 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ในราคาหุ้นละ 14 บาทเหมือนเดิม และให้สิทธิผู้ถือหุ้นสามารถจองเกินสิทธิได้ โดยกำหนดวันจองซื้อในวันที่ 2-8 มีนาคม 2542
ส่วนที่ 2 ให้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนรุ่นใหม่อีกจำนวน 272,397,232 หุ้น แก่ผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่อตามทะเบียน ณ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2542 โดยให้สิทธิในการจองซื้อ 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 10 บาท และให้สิทธิผู้ถือหุ้นสามารถจองเกินสิทธิได้เช่นเดียวกัน กำหนดวันจองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 2-8 มีนาคม 2542
สำหรับผู้มีรายชื่อในทะเบียนผู้ถือหุ้นทั้งในส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 สามารถจองซื้อหุ้นได้ทั้ง 2 ส่วน หรือจองซื้อหุ้นเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้
นายอโนทัย เตชะมนตรีกุล ได้ชี้แจงเพิ่มเติมอีกว่า เหตุผลที่บรรษัทออกจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุนโดยการให้สิทธิแก่ผู้ถือหุ้นเดิมในครั้งนี้ ก็เนื่องจากบรรษัทได้เคยประกาศเพิ่มทุนไว้แล้วเมื่อปีที่แล้ว แต่ภาวะตลาดขณะนั้นไม่เอื้ออำนวยให้สามารถเรียกชำระได้ เนื่องจากตลาดหุ้นผันผวนมาก แต่ในปัจจุบันภาวะตลาดมีความมั่นคงมากขึ้น จึงเห็นว่าเหมาะสมที่จะเรียกชำระหุ้นเพิ่มทุนตามที่เคยให้สิทธิไว้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมโดยยังคงเงื่อนไขต่าง ๆ ไว้เช่นเดิม ในขณะเดียวกันก็เห็นว่าควรจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนรุ่นใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นที่จะมีการปิดสมุดทะเบียนใหม่ คือ ผู้ถือหุ้นที่มีชื่อ ณ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2542 อีกด้วย
กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัท ได้สรุปว่า การเพิ่มทุนครั้งนี้จะทำให้บรรษัทมีเงินกองทุนเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นแหล่งเงินระยะยาวสำหรับให้การสนับสนุนแก่ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมส่งออกและอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และเพื่อรองรับการตั้งสำรองหนี้สูญสำหรับหนี้ที่มีปัญหา โดยการเพิ่มทุนครั้งนี้จะทำให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของบรรษัทเพิ่มขึ้นเป็นประมาณร้อยละ 13 ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างฐานะของเงินกองทุนบรรษัทให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นและเพียงพอสำหรับการขยายงานของบรรษัทตลอดปีนี้
อนึ่ง การจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนทั้งส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 จะยังคงต้องรักษาสัดส่วนการถือครองหุ้นของผู้ถือหุ้นต่างชาติต้องไม่เกินร้อยละ 49 ตามข้อบังคับของบรรษัท ซึ่งปัจจุบันบรรษัทมีทุนจดทะเบียน 12,000 ล้านบาท หรือ 1,200 ล้านหุ้น และมีทุนจดทะเบียนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 5,447,944,640 หรือเท่ากับ 544,794,464 หุ้น--จบ--