สภา กทม. ร่วมมือกับสภาผู้แทนราษฎรจัดการศึกษาในกทม.

พฤหัส ๐๙ ตุลาคม ๑๙๙๗ ๐๙:๑๑
กรุงเทพ--9 ต.ค.--กทม.
วานนี้ (8 ต.ค. 40) เวลา 12.00 น. ที่ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร นายวศิน อรุณเกษร ประธานคณะกรรมการการศึกษาและสวัสดิการสังคม สภากทม. พร้อมด้วย นายรัศมี จันทร์กระจ่าง รองประธานฯ รวมทั้งคณะกรรมการฯ ประกอบด้วย นางผุสดี วงศ์กำแหง ว่าที่ ร.ต.ชนัตพล เหมวุฒิ นางกฤษนันท์ เหลืองวัธนา นายแก้ว แห้วสันตติ นายสุนันท์ อึ้งทรงธรรม ได้ร่วมแถลงข่าวผลการเสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.ประถมศึกษา พ.ศ.2523 เรื่อง อำนาจการเกณฑ์เด็ก และมาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ.ครู พ.ศ.2488 เรื่องสภาพครูกรุงเทพมหานครและการขอโอนโรงเรียนสังกัดสำนักงานประถมศึกษามาอยู่ในความดูแลของกทม. ต่อคณะกรรมาธิการการศึกษาสภาผู้แทนราษฎร
นายวศิน กล่าวว่า คณะกรรมการการศึกษาและสวัสดิการสังคม สภากทม. ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาจึงได้มีการผลักดันเพื่อให้กรุงเทพมหานครมีอำนาจหน้าที่ในการจัดการศึกษา โดยคณะกรรมการการศึกษาฯ ได้มีการประชุมร่วมกับคณะกรรมาธิการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสนอขอแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.ประถมศึกษา พ.ศ. 2523 เรื่อง อำนาจการเกณฑ์เด็กเข้าเรียน โดยได้ขอแก้ไขดังกล่าวเพื่อให้การกำหนดให้อำนาจการเกณฑ์เด็กเข้าเรียน การกำหนดอายุเด็ก การถอดถอนการยกเว้นเด็ก และอำนาจการลงโทษผู้ปกครองที่ไม่ปฏิบัติตาม ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของ กทม. โดยตรงส่วนการเสนอขอแก้ไขมาตรา 24 แห่งพ.ร.บ.ครู พ.ศ.2488 นั้น เพื่อให้พ.ร.บ. ดังกล่าวครอบคลุมถึงครู บุคลากรสายงานศึกษาธิการเขต และศึกษานิเทศก์ของกทม. ด้วย ซึ่งจะทำให้ครูทุกสังกัดมีศักดิ์และสิทธิเสมอภาค รวมทั้งความก้าวหน้าในวิชาชีพเท่าเทียมกัน ทั้งนี้ข้อเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับนี้ คณะกรรมาธิการการศึกษาสภาผู้แทนราษฎร ได้เห็นสอดคล้องกับกทม. จึงให้กรุงเทพมหานครเสนอกรอบแนวคิดในการที่จะแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับ ไปยังสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
สำหรับการโอนโรงเรียนสังกัดสำนักงานการประถมศึกษา มาอยู่ในความดูแลของกทม. ซึ่งมีอยู่จำนวน 38 โรงเรียนนั้น คณะกรรมาธิการเห็นว่า กทม. มีโรงเรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบอยู่ถึง 429 โรงเรียน ที่จะต้องดูแลให้มีคุณภาพ ไม่สมควรไปขอรับโอนโรงเรียนในสังกัดอื่นเข้ามารับผิดชอบอีก
นายวศิน กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ทางคณะกรรมาธิการการศึกษาสภาผู้แทนราษฎรยังได้เสนอแนะเรื่องการปรับโครงสร้างการศึกษาของ กทม. และการบริหารงานบุคลากรว่า ควรให้มีการกระจายอำนาจทางการศึกษา ทั้งด้านบริหาร วิชาการ งบประมาณ การพัฒนาบุคลากรสู่ระดับโรงเรียนให้มากที่สุด และให้ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนด้วย รวมทั้งให้สำนักการศึกษามีบทบาททางการศึกษาสูงขึ้น โดยมุ่งเสริม สนับสนุน และพัฒนา เรื่องการบริหาร วิชาการ หลักสูตรการเรียนการสอน รวมทั้งการพัฒนาครู ตลอดจน กทม.ควรมีการพัฒนาศูนย์วิชาการเขตให้มีประสิทธิภาพพร้อมที่จะเป็นศูนย์ประสานงานทางวิชาการให้บริการทางการศึกษาสำหรับศูนย์วิชาการเขตและโรงเรียนทั่วไป นอกจากนี้สำนักสวสดิการสังคม สำนักพัฒนาชุมชน สำนักอนามัย และสำนักการแพทย์ ควรมีการประสานงานอย่างมีเอกภาพ เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการบริหารและส่งเสริมการศึกษา--จบ

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๑:๐๐ วว. จับมือจังหวัดสระบุรี/อบต.ตาลเดี่ยว ขับเคลื่อนลดก๊าซเรือนกระจก นำ วทน. พัฒนาศูนย์เรียนรู้เทคโนโลยีจัดการขยะชุมชน
๑๑:๐๐ วว.จับมือคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่งเสริมวิจัยนวัตกรรม พัฒนาบัณฑิตสมรรถนะสูง ด้วยวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี
๑๑:๓๗ เปลี่ยนธุรกิจคุณให้โตคูณร้อย กับหลักสูตร CMF เปิดรับสมัครรุ่นที่ 21 แล้ววันนี้ !!
๑๑:๒๖ GFC เสิร์ฟข่าวดีรับศักราชใหม่ปี 68 ดีเดย์ให้บริการคลินิกรักษาผู้มีบุตรยาก GFC Ubon เต็มสูบ
๑๑:๐๐ โรงพยาบาลลานนา จัดอบรม ชาวลานนาร่วมใจ ต้านโรคภัยจากภาวะอ้วนลงพุง
๑๑:๑๕ ค้นหา รักแท้ ในมุมมองใหม่กับศูนย์ฯ สิริกิติ์ ในกิจกรรม ธรรมะในสวน ณ สวนเบญจกิติ 1 กุมภาพันธ์ 2568 นี้
๑๑:๑๐ เชฟรอน (ไทย) รุกเจาะตลาดน้ำมันเครื่อง เพื่ออุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
๑๑:๐๗ RML เปิดศักราชปี'68 มาแรง! หุ้นกู้มีหลักประกันขายหมดเกลี้ยง 100%
๑๑:๐๐ สมาคมดินโลก ร่วมกับ 4 หน่วยงาน ลงนามความร่วมมือเสริมสร้างการจัดการดินเพื่อเกษตรยั่งยืน
๑๐:๐๐ ศูนย์การค้าเครือเอ็ม บี เค ฉลองเทศกาลตรุษจีนสุดยิ่งใหญ่ CHINESE NEW YEAR 2025