สภากาชาดไทยแถลงข่าวโครงการ "6 รอบในหลวง ร้อยใจปวงประชา ร่วมใจมาบริจาคโลหิต"

อังคาร ๒๐ มกราคม ๑๙๙๘ ๑๘:๔๖
กรุงเทพ--20 ม.ค.--สภากาชาดไทย
วันนี้ (20 มกราคม 2541) เวลา 11.00 น. นายแผน วรรณเมธี เลขาธิการสภากาชาดไทย เป็นประธานแถลงข่าว โครงการ "6 รอบในหลวง ร้อยใจปวงประชา ร่วมใจมาบริจาคโลหิต" ร่วมด้วย ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ประธานคณะกรรมการจัดหาและสงเสริมผู้ให้โลหิตแห่งสภากาชาดไทย และ ศ.นพ.ชัยเวช นุชประยูร ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ดำเนินการแถลงข่าวโดย นพ.สุรพงศ์ อำพันวงษ์ ซึ่งโครงการนี้ สภากาชาดไทย โดยศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ และคณะกรรมการจัดหาและส่งเสริมผู้ให้โลหิตแห่งสภากาชาดไทย จัดขึ้นเพื่อเป็นโครงการหลักในการ เชิญชวนให้ประชาชนทั่วประเทศได้ร่วมกันบริจาคโลหิต เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยระยะเวลาของโครงการนี้จะต่อเนื่องตั้งแต่ 1 มกราคม 2541-31 ธันวาคม 2542
นายแผน วรรณเมธี เลขาธิการสภากาชาดไทย กล่าวว่า ด้วยในปีพุทธศักราช 2541-2542 รัฐบาลได้ขอความร่วมมือให้หน่วยงานต่าง ๆ จัดกิจกรรมเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ สภากาชาดไทย จึงได้จัดทำโครงการ "6 รอบในหลวง ร้อยใจปวงประชา ร่วมใจมาบริจาคโลหิต" ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักของโครงการนี้ คือ เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนร่วมบริจาคโลหิตอย่างสม่ำเสมอทุก 3 เดือน หากประชาชนร่วมบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ จะส่งผลให้ปริมาณโลหิตมีเพียงพอใช้ และการที่กล่าวได้เช่นนี้ เนื่องจากว่าสภากาชาดไทย เคยจัดทำโครงการ "ฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ปวงประชาร่วมใจบริจาคโลหิต" เมื่อปี 2538-2539 ส่งผลให้ได้รับโลหิตบริจาคทั่วประเทศเป็นจำนวน 1,797,247 ยูนิต และมีผู้ร่วมบริจาคโลหิตในโครงการระยะเวลาดังกล่าว จำนวน 1,382,540 คน
ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า จากการที่คณะกรรมการส่งเสริมผู้ให้โลหิตแห่งสภากาชาดไทย มีหน้าที่โดยตรงในการช่วยส่งเสริม และสนับสนุนกิจการของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ให้บรรลุเป้าหมายในการจัดหาโลหิตบริจาคให้มีปริมาณเพียงพอ และปลอดภัย สำหรับการใช้รักษาผู้ป่วยทั้งในโรงพยาบาล รัฐบาล และเอกชน โดยสนับสนุนให้มีการพัฒนางานบริการโลหิตของประเทศไทยก้าวเข้าสู่ระดับที่ต้องคำนึงถึงเรื่องคุณภาพ และมีเรื่องของการบริหารจัดการระบบบริการโลหิตในขั้นตอนต่าง ๆ และสนับสนุนในการจัดหาผู้บริจาค พยายามเจาะกลุ่มเป้าหมายที่จะบริจาคโลหิตได้ พยายามขยายหน่วยงานที่จะบริจาคโลหิตให้มากขึ้น ในเรื่องของการเจาะเก็บโลหิตส่งเสริมในเรื่องบุคลากรเพื่อมาปฎิบัติหน้าที่ เจาะเก็บโลหิตและเสริมทักษะต่าง ๆ เพื่อความชำนาญงาน งานด้านคัดกรองคุณภาพโลหิต สนับสนุน และส่งเสริมความรู้ความเข้าใจไปสู่ประชาชนทั่วไป ในเรื่องของการตรวจสอบโลหิต ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติดำเนินการอยู่ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย และในเรื่องของการจัดเก็บและจ่ายโลหิต สร้างภาพพจน์ให้เห็นชัดเจนว่า ศูนย์บริการโลหิตช่วยเหลือในการจ่ายโลหิตช่วยเหลือ ผู้ป่วยตามโรงพยาบาลต่าง ๆ นอกจากนี้คณะกรรมการฯ ยังได้สนับสนุนในการหาทุนมาสนับสนุนงานบริการโลหิต ให้เจริญก้าวหน้าขึ้นไปตามมาตรฐานอีกระดับหนึ่งด้วย การจัดโครงการดังกล่าวนี้ขึ้นมาจะเป็นการสร้างแนวทางในรูปแบบเดียวกันต่อไป
นอกจากนี้ผู้ที่บริจาคโลหิตในโครงการดังกล่าว จะได้รับบัตรประจำตัวผู้บริจาคโลหิตแบบใหม่ซึ่งใช้แทนแบบเดิม ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งมีขนาดใหญ่ พกพาไม่สะดวก และเปื่อยยุ่ยได้ง่าย ซึ่งมีลักษณะแบบเดียวกับบัตรเครดิต และเหมาะที่จะใช้กับงานบริการโลหิตในขณะนี้ ซึ่งเป็นบัตรขนาด 9 ซม. X 5.5 ซม. พิมพ์ด้วยกระดาษอาร์ตอาบมันด้าน ด้านหน้าบัตรจะอัญเชิญตราสัญลักษณ์พิธีเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ พร้อมทั้งได้รับเหรียญที่ระลึกโครงการฯ หากบริจาคโลหิตตามกำหนดภายในระยะเวลาของโครงการ คือ บริจาคได้ครบ 4 ครั้ง ได้เหรียญที่ระลึก 1 เหรียญ ถ้าบริจาคครบ 8 ครั้ง จะได้รับเหรียญที่ระลึก 2 เหรียญซึ่งจัดทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับผู้บริจาคโลหิตในโครงการนี้อีกด้วย
ศ.นพ.ชัยเวช นุชประยูร ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตฯ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถือว่าความปลอดภัยของโลหิต ถือเป็นหัวใจสำคัญของงานบริการโลหิต นั่นคือการที่จะได้โลหิตที่ปลอดภัย ต้องเริ่มต้นที่ผู้บริจาคโลหิตเป็นสำคัญ และผู้บริจาคต้องมีคุณสมบัติเหมาะสมและพร้อมที่จะบริจาคโลหิต ต้องเริ่มต้นที่ผู้บริจาคโลหิตเป็นสำคัญ และผู้บริจาคต้องมีคุณสามบัติเหมาะสมและพร้อมที่จะบริจาคโลหิต และที่สำคัญต้องไม่หวังสิ่งตอบแทน
ดังนั้นการจัดโครงการ "6 รอบในหลวงฯ" ขึ้นมานั้น มีเป้าหมายสำคัญที่จะได้ผู้บริจาคโลหิตสม่ำเสมอโดยบริจาคโลหิตทุก 3 เดือน ซึ่งได้พิจารณาจากสถิติที่ผ่านมาพบว่าจะมีผู้บริจาคโลหิตปีละ 1 ครั้ง สูงถึงร้อยละ 70 และบริจาคโลหิตเป็นประจำปีละ 2-3 ครั้ง เพียงร้อยละ 30 เท่านั้น จึงทำให้ได้โลหิตบริจาคยังไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ คือ ประเทศไทยนั้นตั้งเป้าหมายว่าจะต้องได้โลหิตบริจาคอย่างต่ำร้อยละ 2 ของประชากร คือ ปีละ 1,400,000 ยูนิต แต่ปี 2540 ที่ผ่านมา ได้รับโลหิตบริจาคทั่วประเทศประมาณ 1,100,000 ยูนิต ทั้งนี้เพื่อให้ได้เป้าหมายตามที่ได้ตั้งเอาไว้นั้นประชาชนทั่วประเทศต้องร่วมมือร่วมใจกันบริจาคโลหิต โดยสามารถเข้าร่วมโครงการนี้ ซึ่งมีระยะเวลา 2 ปี ระหว่าง 1 มกราคม 2541-31 ธันวาคม 2542 ทั้งนี้ก็เพื่อร่วมถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว--จบ--

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๔๗ เอ. เจ. พลาสท์ คว้า 2 รางวัลใหญ่ จาก SET Awards 2024 และได้รับการประเมิน CGR ดีเลิศ ระดับ 5 ดาว
๑๖:๑๓ เปิดมาตรการ พักหนี้ ลดดอกเบี้ย ช่วยเหลือ SMEs ถูกน้ำท่วมในงาน มันนี่ เอ็กซ์โป 2024 เชียงใหม่
๑๖:๓๙ หน้าหนาวมาเยือน! กรมอนามัยเตือนดูแลสุขภาพให้พร้อม เด็กเล็ก-ผู้สูงอายุเสี่ยงเจ็บป่วยง่าย
๑๖:๕๗ เปิดรันเวย์อวดผลงานไอเดียสร้างสรรค์ของ 5 ผู้ชนะรางวัลทุนการศึกษา จากโครงการ Jaspal Group Scholarship Program
๑๖:๐๘ กิฟฟารีน แนะนำไอเทมเด็ด กิฟฟารีน เอช เอ็ม บี พลัส วิตามินดี 3 สำหรับช่วยดูแลมวลกล้ามเนื้อให้แข็งแรง
๑๕:๐๑ ไขข้อสงสัย สินเชื่อรถแลกเงินคืออะไร
๑๕:๓๘ ซื้อมอเตอร์ไซค์ ออกรถใหม่ มีขั้นตอนอย่างไร ต้องเตรียมอะไรบ้าง
๑๕:๐๕ ยางขอบ 17 ยี่ห้อไหนดีที่ขับขี่สนุก และยังคงนุ่มสบาย
๑๔:๕๖ heygoody คว้าแชมป์จากเวที Thailand Influencer Awards 2024 ตอกย้ำความเข้าใจลูกค้า Introvert
๑๔:๐๓ เมืองไทยประกันชีวิต คว้า 4 รางวัลใหญ่ระดับสากล ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล และเป็นองค์กรสถานประกอบการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการ