กรุงเทพ--18 พ.ย.--เอ็นพีซี
เอ็นพีซีลดราคาโอเลฟินส์ต่ำกว่าตลาดโลก 10-20% สนับสนุนให้ลูกค้า Downstream อย่าง TPE, HMC และ BPE ส่งสินค้าออกต่างประเทศได้เพิ่มขึ้นถึง 50% เร่งเดิน Ethylene Cracker ป้อนลูกค้าเกินกำลังผลิตถึง 110% ซึ่งลูกค้ารับซื้อทั้งหมด ช่วยให้ต้นทุนการผลิตลดลง ส่งผลให้ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2540 มีกำไรสุทธิก่อนตัดผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 496 ล้านบาท
นายกมลชัย ภัทโรดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปิโตรเคมีแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นพีซี เปิดเผยว่า จากสภาพเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ในช่วงขาลง ทำให้อัตราการเพิ่มของความต้องการบริโภคพลาสติกชะลอตัวลง ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นต่อเนื่อง (Downstream) ที่เป็นลูกค้าของเอ็นพีซี อาทิ บริษัท ไทยโพลีเอททีลีน จำกัด (TPE) บริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ จำกัด (HMC) บริษัท บางกอกโพลีเอททีลีน จำกัด (มหาชน) (BPE) ได้ปรับแผนการลงทุนเป็นการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายยังต่างประเทศ โดยถือโอกาสในช่วงที่ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงในขณะที่ค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งตัวขึ้น เอ็นพีซีได้มีส่วนร่วม โดยปรับราคาขายเอทิลีนและ โพรพิลีนลงต่ำกว่าราคาตลาดโลก USGC. ประมาณ 10-20% ซึ่งเป็นแรงผลักดันแรงหนึ่งที่มีส่วนทำให้กลุ่ม Downstream สามารถส่งออกผลิตภัณฑ์ไปแข่งขันยังต่างประเทศได้ ดังจะเห็นได้จากการที่ HMC, BPE และ TPE ได้เพิ่มสัดส่วนการส่งออกจาก 25-30% เป็น 40% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 50% ในเร็ว ๆ นี้
ปัจจุบันโรงโอเลฟินส์ของเอ็นพีซีเดินเครื่องผลิตเอทิลีนเกินกว่ากำลังการผลิตถึง 105 - 110% ทำให้เอ็นพีซีสามารถผลิตผลิตภัณฑ์และจำหน่ายได้เต็มที่ ซึ่งเป็นผลให้ต้นทุนมีราคาต่ำลงจากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2540 มีกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 496 ล้านบาท เมื่อรวมกับกำไรจากการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2540 จำนวน 454 ล้านบาท ทำให้ผลการดำเนินงานของเอ็นพีซีช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2540 มีกำไรจากการดำเนินงาน 950 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2539 เอ็นพีซี มีกำไรเพิ่มขึ้น 609 ล้านบาท
โดยในไตรมาส 3 ของปีนี้ NPC มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 2,607 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้จากการขายโอเลฟินส์ และจำหน่ายสาธารณูปการ จำนวน 2,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,026 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 70% เนื่องจากมีรายได้จากการขายโอเลฟินส์เพิ่มสูงขึ้น 902 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณการจำหน่ายโอเลฟินส์เพิ่มสูงขึ้น 30% ขณะที่ราคาขายโอเลฟินส์เป็นเงินเหรียญสหรัฐเทียบกับเงินบาทมีอัตราเพิ่มขึ้นถึง 32% ตามการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาท ภายหลังใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว นอกจากนี้ ยังเป็นผลมาจากการที่เอ็นพีซีจัดส่งไฟฟ้าจากโครงการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้า (Power Expansion) จำนวนรวม 100 เมกกะวัตต์ให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และลูกค้าเต็มกำลังผลิตตลอดทั้งไตรมาส ทำให้รายได้จากการขายสาธารณูปการเพิ่มขึ้น 124 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% ส่วนรายได้จากการให้บริการท่าเทียบเรือและขนถ่ายผลิตภัณฑ์ และรายได้จากการให้บริการอื่น ๆ มีจำนวน 57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 68% จากการที่ลูกค้านำเข้าผลิตภัณฑ์ผ่านท่าเทียบเรือของเอ็นพีซีเพิ่มขึ้น
จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ จากระบบตะกร้าเงินมาเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว เป็นผลให้ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนลงเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ไตรมาสที่สามของปี 2540 เอ็นพีซีมีผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 2,408 ล้านบาท ประกอบด้วย ผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจริง 185 ล้านบาท และยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงอีก 2,223 ล้านบาท อย่างไรก็ตามผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยน มิได้มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของเอ็นพีซี เนื่องจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง นอกจากนี้ รายได้จากการขายโอเลฟินส์ ซึ่งเป็นรายได้หลักตามสัญญาขายผลิตภัณฑ์ กำหนดราคาขายเป็นเงินเหรียญสหรัฐ ถือได้ว่ามีการป้องกันความเสี่ยงด้วยลักษณะของธุรกิจอยู่แล้ว รายได้ที่เป็นเงินบาทจะเพิ่มขึ้นตามอัตราแลกเปลี่ยนที่สูงขึ้นเช่นกัน ขณะที่ภาระหนี้เงินกู้ยืมที่เป็นเงินเหรียญสหรัฐตามสัญญาเงินกู้ยืมทั้งหมด 200 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นเงินกู้ระยะยาวที่เอ็นพีซีจะทยอยจ่ายคืนเงินกู้ยืมไปจนถึงปี 2548
สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ส่วนประชาสัมพันธ์ บมจ. ปิโตรเคมีแห่งชาติ โทร. 617-7800 ต่อ 1221-5
- พ.ย. ๒๕๖๗ ปุ๋ยแห่งชาติยอมแบกภาระราคาวัตถุดิบแพงและบาทอ่อนเพื่อช่วยเกษตรกรลดต้นทุนปุ๋ยแห่งชาติยอมแบกภาระราคาวัตถุดิบแพงและบาทอ่อน
- พ.ย. ๒๕๖๗ สมาคมเกษตรกรก้าวหน้า ติดใจปุ๋ยแห่งชาติ ซื้อต่อเป็นปีที่ 2
- พ.ย. ๒๕๖๗ ธนาคารออมสินร่วมกับ บมจ.ปุ๋ยแห่งชาติ เปิดตัวโครงการ "จัดหาปุ๋ยเคมีราคาพิเศษให้กับสมาชิกของโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาชนบท"