กรุงเทพ--7 พ.ย.--กระทรวงสาธารณสุข
11 ประเทศในภูมิภาคเอเซีย สร้างกลไกความร่วมมือให้มีการใช้เทคโนโลยีทางสุขภาพอย่างเหมาะสมและคุ้มค่า ป้องกันการใช้เทคโนโลยีอย่างฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น
นายแพทย์ปรากรม วุฒิพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุม ความร่วมมือในโครงการประเมินการใช้เทคโนโลยีทางสุขภาพในภูมิภาคเอเซีย ที่โรงแรมมารวยการ์เดนท์ ผู้เข้าประชุมเป็นตัวแทนจาก 11 ประเทศ มี บังคลาเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เนปาล ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ เวียดนาม ไทย ว่า เทคโนโลยีด้านสาธารณสุขต่าง ๆ นับเป็นสิ่งจำเป็นต่อการบริการสาธารณสุข จากข้อมูล ปี 2536 จากสมาคมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ราคาแพง ประเมินว่า ประเทศที่มีการนำเข้าเทคโนโลยีราคาแพงมากที่สุดในโลกคือ ประเทศไทยและจีน และมีการนำเข้าสูงขึ้นทุกปี
ดังนั้น ตัวแทน 11 ประเทศในภูมิภาคเอเซีย จึงได้ร่วมมือที่จะสร้างกลไก การประเมินใช้เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพอย่างเหมาะสมและคุ้มค่า ทั้งในแง่ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ประสิทธิผลและราคา เพื่อลดการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวอย่างฟุ่มเฟือยหรือเกินความจำเป็น ซึ่งการประชุมครั้งนี้คาดว่าจะได้กลไกในการใช้เทคโนโลยีแต่ละชนิดอย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด
ปัญหาเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ มักเป็นเครื่องมือที่มีราคาแพง เป็นเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เครื่องตรวจอวัยวะภายในด้วยระบบ MRI เครื่องมือผ่าตัดสมองด้วยรังสีแกรมม่า เป็นต้น เมื่อมีการนำเข้าก็จะมีการโฆษณา หรือเชิญชวนให้มาใช้บริการเครื่องมือที่ทันสมัยมีประสิทธิภาพ ทำให้ประชาชนสนใจและเข้าไปใช้บริการ ซึ่งจริงแล้วการตรวจวินิจฉัยหรือโรคบางโรคไม่จำเป็นต้องพึ่งเทคโนโลยีราคาแพงดังกล่าว ภาวะเศรษฐกิจของประเทศเป็นเช่นนี้ การนำเข้าเครื่องมือดังกล่าวก็คงจะลดน้อยลง ซึ่งก็คงถึงเวลาแล้วที่จะได้มีการทบทวนและให้ความรู้ ความเข้าใจทั้งผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการ ดังนั้นการที่ประเทศในภูมิภาคเอเซียทั้ง 11 ประเทศ ได้ร่วมกันศึกษาประเมินการใช้เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพทั้งการควบคุม การจัดการ การนำเข้า การจำหน่าย การเผยแพร่ข้อมูล และวิธีการใช้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากต่อการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขระดับชาติ
สำหรับประเทศไทย ในการประเมินความคุ้มค่าการใช้เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ ได้รับความร่วมมือจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยในภูมิภาคในการประเมินว่ามีความเหมาะสมจำเป็นหรือคุ้มค่าหรือไม่ อย่างไรก็ตามในสภาพภาวะเศรษฐกิจของประเทศเป็นเช่นนี้ นับว่าถึงเวลาที่จะได้มีการวางแนวทางการปฏิบัติในการใช้เทคโนโลยีให้คุ้มค่ามากที่สุด ทั้งนี้ต้องอาศัย 2 มาตรการคือ มาตรการทางกฏระเบียบ กฏหมายซึ่งต้องเสนอต่อรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องที่ยาก ใช้เวลานาน อีกมาตรการคือ การให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน และผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามทำเรื่องนี้อยู่ เพราะการเจ็บป่วยบางอย่าง หรือการวิจัยโรคบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งเครื่องมือที่มีราคาแพง หากประชาชนผู้รับบริการได้ทราบข้อมูลที่ถูกต้อง คงลดการใช้เกินความจำเป็นได้
นอกจากนี้ ทางสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ก็ได้ร่วมหาแนวทาง กลไก ให้มีการใช้เทคโนโลยีอย่างคุ้มค่า โดยทำการวิจัยในโรงพยาบาล ลดการใช้เครื่องมืออย่างฟุ่มเฟือย และการยกระดับมาตรฐานโรงพยาบาลทั้งใน 35 โรงพยาบาล นำเรื่องที่โรงพยาบาลรัฐ - เอกชน เพื่อให้คุณภาพดีขึ้น ให้ผู้บริหารโรงพยาบาล หมอ เข้าใจและนำไปใช้ในโรงพยาบาล ส่งผลให้มีการใช้เทคโนโลยีทางสุขภาพอย่างเหมาะสมราคาพอเหมาะ--จบ--
- พ.ย. ๒๕๖๗ เผยความสำเร็จ โครงการพัฒนาธุรกิจ ON AIR / ON LINE กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
- พ.ย. ๒๕๖๗ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยความสำเร็จ โครงการพัฒนาธุรกิจ ON AIR / ON LINE กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
- ๐๗:๑๕ หน้าหนาวมาเยือน! กรมอนามัยเตือนดูแลสุขภาพให้พร้อม เด็กเล็ก-ผู้สูงอายุเสี่ยงเจ็บป่วยง่าย
- ๖ พ.ย. MEDEZE ขานรับกฎระเบียบ Stem Cell ของแพทยสภา มั่นใจระบบจัดเก็บได้มาตรฐาน นำไปใช้ตามประกาศสธ.
- ๗ พ.ย. กรมอนามัย ขับเคลื่อนภารกิจให้ประชาชนสุขภาพดี พัฒนาระบบราชการสู่ความเป็นเลิศ