กรุงเทพ--27 ม.ค.--กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สุ่มตรวจถุงยางอนามัยทั่วทุกภาคของประเทศ เพื่อตรวจสอบมาตรฐานและเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคให้ปลอดภัยจากโรคเอดส์ หรือโรคที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ และเพื่อส่งเสริมการวางแผนครอบครัวให้ครบวงจร พบถุงยางอนามัยจากภาคต่างๆ ของประเทศมีคุณภาพได้มาตรฐานถึงร้อยละ 94
ดร.เรณู โกยสุโข อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ปัญหาการแพร่กระจายของโรคเอดส์ หรือโรคติดเชื้อที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ นับว่ายังเป็นปัญหาใหญ่ทางด้านการสาธารณสุข หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต่างพยายามหาทางแก้ไขหรือวิธีการจำกัดขอบเขตของโรคให้อยู่ในข่ายที่สามารถควบคุมได้ การใช้ถุงยางอนามัยนับเป็นทางเลือกที่สำคัญของการควบคุมและป้องกันโรคดังกล่าว รวมทั้งยังเป็นการคุมกำเนิดที่ถือได้ว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงอีกวิธีหนึ่ง แต่ทั้งนี้ถุงยางอนามัยที่นำมาใช้ดังกล่าว ต้องเป็นถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพตามมาตรฐานกำหนด หากผู้ใช้นำถุงยางอนามัยที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น ผิวบางเกินไป ถุงยางอนามัยที่มีพื้นผิวไม่เรียบ หรือถุงยางอนามัยที่มีการโฆษณาว่ากินได้ ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้เคยตรวจสอบมาแล้วและพบว่าไม่เป็นความจริง ก็อาจทำให้คุณภาพความยืดหยุ่นต่างๆ ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งหากผู้บริโภคนำมาใช้ก็อาจจะไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคเอดส์หรือโรคติดเชื้อดังกล่าวได้เพียงพอ
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ติดตามทดสอบประสิทธิภาพถุงยางอนามัยมาโดยตลอด โดยในส่วนกลางได้มอบหมายให้กองเครื่องสำอางและวัตถุอันตรายเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ และในส่วนภูมิภาคได้มอบหมายให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 9 แห่ง เป็นหน่วยงานหลักในการสุ่มเก็บตัวอย่างถุงยางอนามัยมาตรวจ ตามแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคและตามโครงการสนับสนุนการตรวจคุณภาพเครื่องมือแพทย์เพื่อป้องกันโรคเอดส์
โดยในปีที่ผ่านมากรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้สุ่มเก็บตัวอย่าง จำนวน 630 ตัวอย่าง พบว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน 592 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 94 ไม่เข้ามาตรฐาน 38 ตัวอย่าง ซึ่งจำแนกสาเหตุได้คือ การทนต่อความดันและปริมาตรขณะปริแตกไม่ได้มาตรฐาน รวมทั้งซองที่บรรจุมีระดับมาตรฐานต่ำกว่าปกติ จึงทำให้ถุงยางดังกล่าวมีความยืดหยุ่นไม่ดีพอ เนื่องมาจากขั้นตอนในขบวนการผลิต การขนส่งหรือการเก็บรักษาท่ไม่ถูกต้อง
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวในตอนท้ายว่า ผลจากการตรวจสอบคุณภาพถุงยางอนามัยที่จำหน่ายตามร้านค้าย่อยตามภาคต่างๆ นั้น ส่วนมากจะมีคุณภาพดี มีความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ แต่ผู้ใช้ก็ควรมีความระมัดระวังและควรเลือกซื้อถุงยางอนามัยที่ได้มาตรฐาน โดยสังเกตฉลากที่กล่องหรือซองบรรจุต้องมีเลขที่ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ วัน/เดือน/ปีที่ผลิต ซึ่งยังไม่หมดอายุจนถึงวันที่ใช้ ตลอดจนสังเกตลักษณะภายนอกหรือการเก็บรักษาที่ถูกต้องด้วยเช่น เก็บในที่ไม่ถูกแสงแดดหรืออากาศร้อน เพื่อให้มั่นใจว่าได้ใช้ถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพได้มาตรฐานปลอดภัย สามารถป้องกันโรคเอดส์และโรคที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ--จบ--