กรุงเทพ--3 ก.ค.--บรรษัท
บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สรุปผลการอนุมัติเงินกู้ที่ได้รับจาก The Export - Import Bank of Japan (JEXIM) จำนวน 4 หมื่นล้านเยน โดยได้ดำเนินการอนุมัติเงินกู้ให้แก่โครงการต่าง ๆ ไปแล้วทั้งหมด 43 โครงการ จำนวน 24,196 ล้านเยน หรือเทียบเท่าประมาณ 7,356 ล้านบาท และมีโครงการที่รอการอนุมัติอีกร่วม 30 โครงการ
นายอโนทัย เตชะมนตรีกุล กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัท เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการจัดสรรเงินกู้จาก JEXIM ต่อผู้แทนสื่อมวลชนว่า จากการที่บรรษัทได้รับเงินกู้จาก JEXIM วงเงิน 4 หมื่นล้านเยน อายุ 5 ปี โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนเงินกู้แก่อุตสาหกรรมส่งออกทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงบริษัทที่ร่วมทุนกับญี่ปุ่น ที่มีความต้องการเงินกู้ระยะปานกลางหรือระยะยาว หรือเงินทุนหมุนเวียนเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการ ทั้งนี้สามารถกู้ได้เป็นสกุลเงินเยน ดอลลาร์สหรัฐ หรือเงินบาทนั้น
บรรษัทได้เร่งดำเนินการจัดสรรเงินกู้จำนวนดังกล่าว เพื่อเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศ และเพื่อช่วยเหลือสภาพคล่องให้แก่โครงการต่าง ๆ ตามนโยบายของรัฐบาล โดยบรรษัทได้อนุมัติเงินกู้ให้แก่โครงการต่าง ๆ ไปแล้วจนถึงปัจจุบันเป็นจำนวน 43 โครงการ เป็นวงเงิน 24,196 ล้านเยน หรือเทียบเท่าประมาณ 7,356 ล้านบาท และเบิกเงินกู้ไปแล้วเป็นเงิน 11,206 ล้านเยน หรือเทียบเท่าประมาณ 3,407 ล้านบาท ได้แก่โครงการของ บริษัทในเครือกลุ่มซัมมิท บริษัทไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) บริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด และบริษัทอุตสาหกรรมถังแกส จำกัด เป็นต้น และแบ่งเป็นอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ ได้แก่อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ 25 ผลิตภัณฑ์ด้านกสิกรรม ปศุสัตว์ ประมง ร้อยละ 16 ผลิตภัณฑ์โลหะ ร้อยละ 12 และผลิตภัณฑ์พลาสติก ร้อยละ 10 เป็นต้น นอกจากโครงการที่บรรษัทได้อนุมัติเงินกู้ไปแล้ว ยังมีโครงการต่าง ๆ ที่อยู่ในระหว่างการวิเคราะห์โครงการอีก 30 โครงการ และคาดว่าจะสามารถอนุมัติเงินกู้ได้ทั้งหมดภายใน 1-2 เดือนนี้
นายอโนทัย เตชะมนตรีกุล กล่าวต่อไปว่า เงินกู้ JEXIM มีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาการขาดสภาพคล่อง สามารถเพิ่มเงินลงทุนให้แก่อุตสาหกรรมส่งออกเป็นอย่างมาก และนอกจากจะช่วยให้ผู้ส่งออกมีเงินทุนหมุนเวียนในการซื้อวัตถุดิบแล้ว ยังมีเงินลงทุนระยะยาวที่จะนำมาใช้ในการผลิตสินค้าอีกด้วย ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมส่งออกของไทยมีศักยภาพในการแข่งขันเพิ่มขึ้น ในขณะนี้บรรษัทกำลังพิจารณาเสนอขอกู้เงินครั้งที่สองจาก JEXIM เพิ่มเติม เนื่องจากผู้ประกอบการยังมีความต้องการเงินกู้จำนวนนี้อีกมาก และหาก JEXIM จะพิจารณาให้เงินกู้ครั้งที่สองแก่ประเทศไทย ก็จะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง--จบ--