กรุงเทพฯ--13 มี.ค--กรมการขนส่งทางบก
กรมการขนส่งทางบกกำหนดแบบเครื่องหมายการเสียภาษีรถประจำปีตามกฎหมายว่าด้วยรถยนตร์เป็นสติ๊กเกอร์สี่เหลี่ยมผืนผ้าสะท้อนแสงแทนป้ายวงกลมกระดาษแบบเดิม
นายพงศกร เลาหวิเชียร อธิบดีกรมการขนส่งทางบกเปิดเผยว่ากรมการขนส่งทางบกได้ปรับปรุงเครื่องหมายการเสียภาษีรถประจำปีจากเดิมเป็นป้ายวงกลมกระดาษเปลี่ยนเป็นสติ๊กเกอร์สี่เหลี่ยมผืนผ้า เพื่อแก้ปัญหาการปลอมแปลงเครื่องหมายการเสียภาษีรถประจำปีโดยนำป้ายวงกลมกระดาษไปถ่ายเอกสารสีแล้วแก้ไขดัดแปลงข้อความเพื่อนำไปใช้ติดกระจกหน้ารถเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีรถประจำปี หรือนำไปใช้กับรถสวมทะเบียนปลอมที่โจรกรรมมา สำหรับเครื่องหมายการเสียภาษีรถประจำปีรูปแบบใหม่นี้จัดทำเป็นสติ๊กเกอร์สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว่า 6.35 ซม. ยาว 19.05 ซม. กรมการขนส่งทางบกได้เพิ่มข้อมูลเลขเครื่องยนต์ เลขตัวรถสีรถ เลขที่เครื่องหมายการเสียภาษีรถประจำปีตลอดจนจัดทำลวดลายตราเครื่องหมายราชการกรมการขนส่งทางบกลงบนสติ๊กเกอร์ทำให้ง่ายต่อการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจและยกต่อการปลอมแปลงเนื่องจกต้องลงทุนสูง ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดเก็บภาษีรถประจำปีได้อย่างเต็มที่รวมทั้งสามารถป้องกันและปราบปรามการโจรกรรมรถได้อีกทางหนึ่ง
อธิบดีกรมการขนส่งทางบกกล่าวว่าการดำเนินการในระยะแรกกำหนดให้รถยนต์ตาม พ.ร.บ. รถยนตร์พ.ศ.2522 รวม 4 ประเภท คือ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รถเก๋ง) , รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รถตู้),รถยนต์บรรทุกเกิน 7 คน (รถปิคอัพ) และรถยนต์รับจ้างบรรทุกผู้โดยสารไม่เกิน 7 คน (รถแท็กซี่มิเตอร์) ที่จดทะเบียนในกรุงเทพมหานครเท่านั้นที่ใช้เครื่องหมายการเสียภาษีประจำปีแบบใหม่ที่เป็นสติ๊กเกอร์สี่เหลี่ยมผืนผ้าแทนป้ายวงกลมกระดาษ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดและจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม2543เป็นต้นไปส่วนรถประเภทอื่นที่จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนตร์ในกรุงเทพมหานครและรถทุกประเภทที่จดทะเบียนในจังหวัดอื่นทั่วประเทศจะได้รับเครื่องหมายการเสียภาษีรถประจำปีที่เป็นป้ายวงกลมกระดาษแบบเดิม"เครื่องหมายการเสียภาษีรถประจำปีรูปแบบใหม่นี้มีรูปแบบที่สวยงาม รายละเอียดชัดเจนและคงทนหากมีการลอกออกข้อมูลจะเสื่อมสภาพไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีกเจ้าของรถจะต้องยื่นเรื่องขอให้กรมการขนส่งทางบกทำใหม่โดยเสียค่าธรรมเนียมคันละ 25 บาทซึ่งแนวทางนี้เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ป้องกันการปลอมแปลงเครื่องหมายการเสียภาษีรถประจำปีได้" อธิบดีกรมการขนส่งทางบกกล่าวในท้ายที่สุด--จบ--