กรุงเทพฯ--7 เม.ย.--บมจ. หลักทรัพย์ เอกธำรง เคจีไอ
ที่ประชุมผู้ถือหุ้น บมจ. หลักทรัพย์ เอกธำรง เคจีไอ สนับสนุนการยกเลิกแผนเพิ่มทุนก่อนหน้านี้ทั้งหมดจำนวน 1,246.5 ล้านหุ้น พร้อมเดินหน้าแผนโบรกเกอร์ภูมิภาคด้วยการร่วมทุนกับนักลงทุนต่างชาติ เตรียมเข้าซื้อกิจการ บริษัทหลักทรัพย์โชฮุง
นายภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอกธำรง เคจีไอ จำกัด(มหาชน) ได้กล่าวภายหลังจาการประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2543 ว่า ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบและสนับสนุนกับคณะกรรมการบริษัท ในการยกเลิกแผนเพิ่มทุน และการแลกเปลี่ยนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นได้อนุมัติไปก่อนหน้านี้ทั้งหมด เนื่องจากมีข้อจำกัดบางประการเกี่ยวกับการลงทุนในต่างประเทศ และการส่งเงินออกนอกประเทศตามที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้กำหนดไว้ ทำให้บริษัทฯ ไม่สามารถที่จะลงทุนโดยตรงในบริษัทหลักทรัพย์ โช ฮุงได้ แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ก็พร้อมเดินหน้าแผนงานการขยายฐานการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ไปยังประเทศอื่นในภูมิภาค โดยได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการลงทุนในภูมิภาค ด้วยการเข้าลงทุนผ่าน KGI International Limited (KGII) เพื่อเข้าซื้อกิจการของบริษัทหลักทรัพย์โชฮุง ในประเทศเกาหลีใต้ โดยคิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 65 ล้านเหรียญสหรัฐ และ KGII เป็นผู้ดำเนินการทางการเงินอีกมูลค่า 70 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมทั้งสิ้น 135 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจากโครงสร้างใหม่นี้ จะส่งผลให้การดำเนินธุรกิจ การขยายเครือข่าย การมี Synergy ยังคงดำเนินต่อไป แต่จะใช้เงินลงทุนน้อยลง และได้รับส่วนแบ่งจากรายได้ของธุรกิจจาก ภูมิภาคน้อยลงตามสัดส่วนดังนี้ คือ บริษัทจะถือหุ้นใน KGI Limited ฮ่องกง 48% จากเดิมซึ่งถืออยู่ 100% และถือหุ้นใน บริษัทหลักทรัพย์ โช ฮุง 24.5% จากเดิมถือ 51% ( ดูตารางเปรียบเทียบโครงสร้างการลงทุนในภูมิภาค)จากการที่ที่ประชุมฯ ได้มีมติให้ยกเลิกแผนการเพิ่มทุน และการแลกเปลี่ยนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นได้อนุมัติไปก่อนหน้านี้ทั้งหมดจำนวน 1,246,500,000 หุ้น ซึ่งที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้อนุมัติไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2542 ที่ผ่านมานั้น เป็นผลให้ทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ เป็น 37,069,343,690 บาท โดยคิดเป็นหุ้นสามัญจำนวน 3,706,934,369 หุ้น เป็นทุนชำระแล้ว 1,493 ล้านหุ้น
นอกจากนี้ ทางผู้บริหารของบริษัทฯ ได้ยืนยันถึงความสำเร็จในปี 2542 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในการระดมทุน ทำให้มีฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม บริษัทฯ มี NCR เท่ากับ 706.41% และยังสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดให้อยู่ในระดับ Top 3 ท่ามกลางภาวะการแข่งขันแย่งชิงตลาดที่รุนแรง โดยในปีที่ผ่านมา มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับที่ 2 เท่ากับ 8.91% คิดเป็นมูลค่าการซื้อขาย 286,810 ล้านบาท และสามารถทำกำไรได้กว่า 712 ล้านบาท รวมทั้งได้มีการขยายสาขาในต่างจังหวัดเพิ่มเติมอีก 3 แห่ง คือที่ นครปฐม, สุรินทร์ และเชียงราย เพื่อขยายการบริการให้ครอบคลุมสู่ลูกค้าระดับภูมิภาคด้วย
สำหรับภาวะของตลาดทุนในปี 2543 ผู้บริหารของบริษัทหลักทรัพย์ เอกธำรง เคจีไอได้แถลงในที่ประชุมผู้ถือหุ้นว่า ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง คาดว่าอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศจะยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ และน่าจะมีปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันประมาณ 7-8 พันล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนมีอัตราการเจริญเติบโตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในปีนี้ บริษัทมีแผนงานในการมุ่งเน้นที่จะรักษาหรือเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด โดยเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่การตลาด อีกทั้งเพิ่มแรงจูงใจในการปฏิบัติงานแก่เจ้าหน้าที่การตลาด นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเปิดสาขาต่างจังหวัดเพิ่มอีก 3 แห่ง และเปิดบริการด้าน Internet Trading พยายามเพิ่มขีดความสามารถในการหารายได้ด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำตลาดทางด้านค้าตราสารหนี้ และ บริหารกองทุนส่วนบุคคล และสร้างแรงจูงใจในการหารายได้ข้ามประเภทสินค้า ตลอดจนยังคงเดินหน้าแผนงานขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศเพื่อตอบสนองเป้าหมายการเป็นโบรกเกอร์ระดับภูมิภาค
สำหรับภาวะตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคในปี 2542 ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ของไต้หวันมีมูลค่า 375.99 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ 913.61 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดฮ่องกงมีมูลค่า 608.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าการซื้อขาย 230.03 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้ มีมูลค่า 306.13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าการซื้อขาย 733.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดสิงคโปร์ 192.98 มูลค่าการซื้อขาย 107.40 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมูลค่าหลักทรัพย์ 57.18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มีมูลค่าการซื้อขาย 37.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
บริษัท เคจีไอ (ฮ่องกง) มีผลประกอบการที่ยังไม่ได้สอบทาน สำหรับงวด 11 เดือน โดยสิ้นสุด ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2543 มีผลกำไร 6.33 ล้านเหรียญสหรัฐ รายได้รวม 65.74 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ โชฮุง ที่เกาหลี มีผลกำไร 49.61 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นรายได้รวม 138.59 ล้านเหรียญสหรัฐ--จบ--
-ยก-