กรุงเทพฯ--3 ก.ค.--บีโอไอ
บีโอไอชี้โอกาสทองการลงทุนภาคเกษตร เชิญนักลงทุนไทยร่วมงานสัมมนาเศรษฐกิจการเกษตรและการค้าสินค้าและผลิตภัณฑ์เกษตร ณ นครคุนหมิง ประเทศจีนเผยแนวโน้มไทยลงทุนในจีนเพิ่มขึ้น หลังรัฐบาลจีนมีนโยบายสนับสนุนการลงทุน
นางสาวสุดจิตร อินทรไทยวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 16-20 กันยายน 2544 สมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีนจะมีการจัดสัมมนา"เศรษฐกิจการเกษตรและการค้าสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ไทย-จีน ครั้งที่ 2" ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติ นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อประสานความร่วมมือระหว่างนักธุรกิจไทย-จีน และเป็นการเสริมสร้างความเข้าใจในการค้า การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร เทคโนโลยีและความคิดเห็นทางเศรษฐกิจการเกษตรระหว่างสองประเทศ อันจะช่วยสนับสนุนให้ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศดำเนินต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ
เนื้อหาในการสัมมนาครั้งนี้ จะเน้นในเรื่องความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ การเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร อุปสรรคทางการค้า และเรื่องกำหนดโควต้าและอัตราภาษี รวมทั้งจะมีการสัมมนาย่อยตามกลุ่มสินค้า 7 กลุ่ม ประกอบด้วย ข้าว,ยางพารา, น้ำตาล, มันสำปะหลัง, ผัก, ผลไม้, ดอกไม้,และพืชสมุนไพร, ประมงและปศุสัตว์, การแปรรูป เทคโนโลยีและการลงทุน
ทั้งนี้จะมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศมาเป็นผู้บรรยายในการสัมมนา ซึ่งผู้บริหารระดับรองเลขาธิการของบีโอไอจะเข้าร่วมด้วย รวมทั้งมีการจัดทัศนศึกษาดูงานในสถานประกอบการภาคเกษตรของประเทศจีน เพื่อเปิดโอกาสให้นักธุรกิจทั้งสองประเทศได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และอาศัยโอกาสนี้ทำธุรกิจหรือเจรจาทางการค้าได้
นอกจากนี้ยังมีการแสดงสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปชนิดต่าง ๆ ของผู้ผลิตทั้งสองประเทศ ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมงาน สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดและสมัครเข้าร่วมการสัมมนาได้ที่ คุณกรรณิกา หรือคุณวสาวรรณ สำนักงานเลขาธิการสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน โทรศัพท์ 251-4577, 251-8826, 253-2576 และ 253-2796 โทรสาร 254-8546 โดยกำหนดวันรับสมัครภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2544
เผยแนวโน้มไทยลงทุนในจีนเพิ่ม
นางสาวสุดจิตรกล่าวว่า แม้ว่าการเข้าไปลงทุนในประเทศจีนของนักลงทุนไทยช่วงที่ผ่านมา จะประสบปัญหาเรื่องโครงสร้างขั้นพื้นฐานที่ไม่เอื้ออำนวย ประกอบกับนโยบายที่ค่อนข้างปิดของรัฐบาลจีนในบางพื้นที่ แต่ปัจจุบันมีแนวโน้มว่านักลงทุนไทยสนใจที่จะเข้าไปลงทุนในจีนมากขึ้น อันเนื่องมาจากการที่รัฐบาลจีนได้สนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศอย่างจริงจัง ซึ่งเห็นได้จากนโยบายเปิดประเทศและมุ่งสู่ระบบตลาดเสรี
นอกจากนี้ ประเทศจีนยังมีปัจจัยต่างๆ ที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน อาทิ ทรัพย์กรจำนวนมากที่ยังไม่ได้นำมาพัฒนาหรือแปรรูปให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ราคาที่ดินในเขตนอกเมืองที่ใช้ก่อสร้างโรงงานมีราคาถูก ค่าจ้างแรงงานต่ำ มาตรการส่งเสริมการลงทุนด้วยการยกเว้นภาษีและการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ และที่สำคญ ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ประเทศจีนมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมาก ซึ่งปัจจัยดังกล่าวทำให้นักลงทุนไทยสนใจที่จะเข้าไปลงทุนในจีนเพิ่มมากขึ้น
ขณะนี้มีโครงสร้างการลงทุนในจีนที่เป็นของคนไทยถึง 2,600 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณ 4,200 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีบริษัทชั้นนำของไทยอย่าง กลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ บริษัท เกษตรรุ่งเรืองพืชผล กลุ่มสหยูเนี่ยน บริษัทกระทิงแดง บริษัทปูนซีเมนต์ไทย กลุ่มนักธุรกิจจากหอการค้าไทย-จีน และธนาคารพาณิชย์ของไทยอีกหลายแห่ง
กิจการที่นักธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนในจีนประกอบด้วย อุตสาหกรรมเกษตร อาทิ กิจการอาหารสัตว์แบบครบวงจร ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร การผลิตเบียร์ ไปจนถึงอุตสาหกรรมปิโตเคมี การผลิตไฟฟ้า การประกอบชิ้นส่วนเครื่องจักร รถยนต์และจักรยานยนต์ ตลอดจนอุตสาหกรรมบริการ เช่น ธนาคาร โรงแรม สถานีบริการน้ำมัน และการร่วมทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์--จบ--
-นห-
- พ.ย. ๒๕๖๗ ภาพข่าว: ตัดบัญชีวัตถุดิบแบบไร้เอกสาร
- พ.ย. ๒๕๖๗ ภาพข่าว: คณะผู้บริหารสมาคมสโมสรนักลงทุนเข้าเยี่ยมชมฐานการผลิตเครื่องประดับอัญมณีรายใหญ่ที่สุดในโลก “แพนดอร่า”
- พ.ย. ๒๕๖๗ รี้ด เทรดเด็กซ์ จัด เมทัลเล็กซ์ ฟอรั่ม เสริมแกร่งอุตสาหกรรมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย ในหัวข้อ “อนาคตของ ECO CAR อนาคตของอุตสาหกรรมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย”