กรุงเทพฯ--12 ต.ค.--โคลัมเบีย พิคเจอร์ส
"ภาพยนตร์ของจอห์นมักจะพูดถึงเรื่องของมนุษยชาติอยู่แล้ว" ผู้อำนวยการสร้างแซนดี้ คิง กล่าว "กับธีมที่พูดถึงการเอาตัวรอดทั้งทางด้านอารมณ์และในเชิงอักษร เขาชอบที่จะสร้างคนที่ดูไม่น่าคบ และทำให้เขากลายเป็นฮีโร่ขึ้นมา เขาได้สร้างอาชญากรคนนี้ขึ้นมา และทำให้เขากลายเป็นนักบุญ เขานำตำรวจมาและจัดการทำให้เขาไขว้เขว เขานำเอาความเป็นเหตุเป็นผลที่เราอยากจะมองข้าม และทดลองท้าทายมัน"
แต่ไม่ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะพยายามพิสูจน์ความเป็นมนุษย์หรือในฐานะที่เป็นปัจเจกชนก็ตาม แต่เหนือสิ่งอื่นใด นี่ก็คือภาพยนตร์ของจอห์น คาร์เพนเตอร์ ที่อาจจะมีฉากแอ็กชั่นเพิ่มมากขึ้น มีความสยดสยองและน่ากลัวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนกับเอกลักษณ์ในผลงานของเขาอยู่แล้ว
"มุขตลกที่พูดกันเสมอว่า จอห์นกำลังสร้างภาพยนตร์คาวบอย" คิงหัวเราะ "แต่ครั้งนี้ เขาได้สร้างภาพยนตร์สงคราม แต่แทนที่จะสร้างภาพยนตร์เรื่อง Gunsmoke บนดาวอังคาร เขากลับสร้างเรื่อง The Longest Day บนดาวอังคารแทน"
จอห์น คาร์เพนเตอร์เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ไหม "Ghosts of Mars เป็นภาพยนตร์สยองขวัญแนววิทยาศาสตร์" คาร์เพนเตอร์บอก "แต่" เขากล่าวต่ออย่างช้าๆ "มันก็มีความเป็นภาพยนตร์คาวบอยเหมือนกัน เพียงแต่อย่าไปบอกใครก็แล้วกัน"
…เกี่ยวกับงานสร้าง
John Carpenter's Ghosts of Mars เริ่มต้นงานถ่ายทำกันที่เหมืองยิปซั่มแห่งหนึ่งนอกเมืองอัลบูคิวเออร์, นิวเม็กซิโก้ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม เหมืองแร่แห่งนี้เป็นพื้นที่เล็กๆ ของเซีย พูโบล ที่กินเนื้อที่ถึง 120,000 เอเคอร์ โดยเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อินเดียนแดงเผ่าเซียมาตั้งรกรากอาศัยตั้งแต่เมื่อเกือบๆ 800 ปีที่แล้ว และเพื่อแสดงความเคารพต่อแผ่นดิน และแสดงความนับถือต่อธรรมเนียมของพวกเซีย ในเย็นวันที่ 7 สิงหาคม หนึ่งวันก่อนที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น และเป็นไปตามคำร้องขอของจอห์น คาร์เพนเตอร์ หมอผีที่อายุมากที่สุดของเผ่าเซียจึงได้มาทำพิธีสวดมนต์ให้พรต่อฉากชายนิ่ง แคนยอน บทสวดที่เป็นภาษาเซียนั้นเป็นการอวยพรให้งานถ่ายทำประสบความสำเร็จ ให้ทีมงานและนักแสดงปลอดภัย และให้มีความปรองดองและนับถือซึ่งกันและกันระหว่างทีมงานและชนเผ่าเซีย ซึ่งทีมงานและนักแสดงของภาพยนตร์ John Carpenter's Ghosts of Mars ต่างสำรวจกริยาอยู่ในความสงบขณะฟังการสวด ซึ่งมีล่ามจากชนเผ่าเซียคอยแปลคำสวดให้เป็นภาษาอังกฤษอีกทีหนึ่ง
การเริ่มต้นงานสร้างแบบแปลกๆ เช่นนี้มีขึ้นหลังจากที่ทีมงานใช้เวลานานหลายเดือนในการเตรียมงานแคสติ้งนักแสดง การซ้อมบท การหาโลเกชั่นสำหรับการถ่ายทำฉากกลางแจ้งห้าอาทิตย์ และการหาโรงถ่ายสำหรับการถ่ายทำฉากภายในร่มอีกห้าอาทิตย์
การคัดเลือกตัวนักแสดงและการซ้อมบท
"Ghosts of Mars เป็นภาพยนตร์ที่ต้องอาศัยการแสดงของนักแสดงเป็นทีม" ผู้อำนวยการสร้างแซนดี้ คิง กล่าว "การคัดเลือกตัวนักแสดงจะเป็นไปแบบค่อยๆ เลือกเข้ามารวมกันทีละคน และเวลาการดำเนินงานก็จะขึ้นอยู่กับการคัดเลือกนักแสดงคนสุดท้ายได้เสร็จ" ทั้งคิงและผู้กำกับจอห์น คาร์เพนเตอร์ใช้กลุ่มนักแสดงหลักกลุ่มเดียวกันในภาพยนตร์ที่พวกเขาเคยสร้างมาด้วยกัน และหนึ่งในนั้นก็คือปีเตอร์ เจสัน และโรเบิร์ต คาร์ราดีน ซึ่งกลายเป็นฐานที่มั่นคงให้กับการคัดเลือกนักแสดงในบทหลักๆ
"คุณต้องสร้างความสมจริงในภาพยนตร์แนวแฟนตาซี และคุณก็ต้องทำเช่นนั้นตั้งแต่เรื่องพื้นฐาน" คิงกล่าว "ตัวประกอบจะต้องดูสมจริงที่สุด และที่สำคัญกว่านั้น นักแสดงบทพื้นๆ จะต้องมีความมั่นคง คนดูจะได้รู้สึกเหมือนเดินตามเรื่องราวไปได้เรื่อยๆ เมื่อกลุ่มนักแสดงในบทนำจะต้องเผชิญกับเรื่องราวที่มันเหลือเชื่อ"
"วิธีการคัดเลือกตัวนักแสดงในภาพยนตร์หลายเรื่องของผมแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยนับแต่ที่ผมเริ่มต้นทำงานกำกับ" จอห์น คาร์เพนเตอร์ยอมรับ "ผมพยายามค้นหานักแสดงที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะหามาใส่ในบทที่ถูกเขียนขึ้นมาได้ จากนั้นก็ต้องทำให้พวกเขารู้สึกสบายเมื่ออยู่ในกองถ่าย และสร้างบรรยากาศการทำงานที่พวกเขาจะรู้สึกดีเมื่อได้แสดงบทบาทของพวกเขา"
ผู้หญิงชอบบู๊
สำหรับบทกลุ่มนักแสดงบทนำของภาพยนตร์เรื่องนี้ ตัวบทภาพยนตร์ได้นำเสนอตัวละครหญิงที่มีความแข็งแกร่งทั้งสิ้น 4 คน ซึ่งทั้งคาร์เพนเตอร์และคิงต่างพึงพอใจมากกับกลุ่มนักแสดงที่พวกเขาเลือกมาแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ "เราโชคดีที่มีผู้หญิงฉลาดๆ อยู่ในทีมนักแสดงของเราด้วย" คิงกล่าว "แพม เกรียร์คือดาราสาวขาประจำในภาพยนตร์แนวแอ็กชั่นที่มีผู้หญิงชอบลุยอยู่แล้ว เรียกว่าเธอเป็นต้นแบบให้กับผู้หญิงทุกคนที่พยายามหยิบปืนและทำตัวห้าวในภาพยนตร์"
โจแอนนา แคสซิดี้ และเกรียร์นั้นผ่านประสบการณ์การทำงานในวงการมานานหลายปี และนั่นก็ทำให้พวกเธอมีส่วนช่วยนักแสดงหน้าใหม่อย่างนาตาชา เฮนส์ทริดจ์ และเคลีย ดูวัลล์ ที่อายุครบ 23 ปีระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่พอดี
ทางด้านนักแสดงชาย ไอซ์ คู๊บและเจสัน สเตแธม เดินเข้าสู่งานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้จากสองโลกที่แตกต่างกัน คู๊บเดินทางมาพร้อมกับความสำเร็จทางด้านงานเพลง และได้รับคำชมจากภาพยนตร์เรื่องก่อนๆ ของเขา ในขณะที่สเตแธมนั้น ได้ผู้กำกับ กาย ริตชี่ มาค้นพบความสามารถของเขา (Lock, Stock and Two Smoking Barrels และ Snatch) ขณะที่เขายืนขายเครื่องประดับอยู่ริมถนนในลอนดอน
การฟิตหุ่นเพื่อถล่มปิศาจดาวอังคาร
นอกเหนือไปจากช่วงระยะเวลาที่นักแสดงทุกคนจะต้องมาซ้อมบทด้วยกันแล้ว นักแสดงทุกคน ยกเว้นไอซ์ คู๊บ และนาตาชา เฮนส์ทริดจ์ จะต้องผ่านการฝึกฝนทางร่างกายและงานสตั๊นต์นานสองเดือนภายใต้การชี้แนะของผู้ประสานงานสตั๊นต์ เจฟฟ์ อิมาด้า "เราทำการฝึกกันเยอะมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยเจอมาก่อนเลย" เคลีย ดูวัลล์เล่า "มันเป็นงานที่หนักหนาสาหัสอยู่เหมือนกัน แต่เจฟฟ์เป็นคนที่เก่งมาก และเขาก็ทำให้พวกเขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญกันไปหมด"
โจแอนนา แคสซิดี้ดูจะสบายกว่าเพื่อนกับการฝึกฝนครั้งนี้ "ตามปกติ ฉันก็จะรักษาหุ่นตัวเองอยู่แล้ว" แคสซิดี้บอก "แล้วฉันก็ตั้งตารอฉากแอ็กชั่นอยู่แล้วด้วย" ทางด้านเจสัน สเตแธมอาศัยการช่วยเหลือจากอิมาด้าเล็กน้อยในเรื่องของการฟิตหุ่น "ผมเคยเป็นแชมเปี้ยนกระโดดน้ำในอังกฤษอยู่แล้วเมื่อไม่นานมานี้" สเตแธมบอก "และประสบการณ์นั้น รวมไปถึงประสบการณ์ด้านการเล่นยิมก็ทำให้งานนี้ง่ายขึ้นสำหรับผม การประสานงานสตั๊นต์ต่างหากที่เป็นส่วนที่ยากกว่า"
ไอซ์ คู๊บต้องออกทัวร์แสดงดนตรีพอดีในระหว่างช่วงซัมเมอร์ก่อนที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น และนั่นก็ทำให้เขาไม่สามารถเดินทางมาที่กองถ่ายได้ จนเหลือเวลาอีกแค่สองอาทิตย์ก่อนการถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น แต่เขาก็มาในสภาพที่เตรียมตัวพร้อมแล้ว "ระหว่างที่ออกทัวร์ ผมก็จะฝึกยกน้ำหนักอาทิตย์ละเจ็ดวันในโรงยิม ทั้งนี้ก็เพื่อให้ร่างกายของผมฟิตสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยได้ฝึกในเรื่องการต่อสู้ก็ตาม ผมเคยแสดงฉากต่อสู้มาแล้วในภาพยนตร์หลายเรื่อง ผมจึงค่อนข้างเป็นมือโปรแล้วในด้านนี้"
นาตาชา เฮนส์ทริดจ์อาจตกที่นั่งลำบากกว่าคนอื่นๆ "ฉันมาถึงกองถ่ายสองสามวันก่อนหน้าที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น แล้วฉันก็ไม่มีเวลาเตรียมตัวเลยจริงๆ แต่ฉันก็พอจะมีความคล่องแคล่วอยู่โดยธรรมชาติเมื่อถึงเวลาต้องใช้แรง ฉันยังได้รับการฝึกงานสตั๊นต์จากเจฟฟ์ อิมาด้ามาบ้างเล็กน้อย แต่สิ่งที่คุณได้เห็นในภาพยนตร์ที่สร้างเสร็จแล้วนั้น มันเป็นการแสดงสดๆ ซึ่งมันก็สนุกมากทีเดียวกับการได้มาทำอะไรแบบนั้น อีกอย่างมันก็ไม่ค่อยนักหรอกนะที่ผู้หญิงจะได้ไล่เตะก้นใครแบบนี้"
อิมาด้าเองรู้สึกประทับใจต่อลูกศิษย์ของเขาทุกคน "นาตาชานี่เก่งจริงๆ" อิมาด้าชม "ด้วยเวลาเพียงเล็กน้อยที่เราทำงานด้วยกัน เธอช่างเป็นปรากฏการณ์จริงๆ เธอลงเอยด้วยการแสดงฉากสตั๊นต์ด้วยตัวเองเสียเป็นส่วนใหญ่ และสร้างความประทับใจให้กับผู้เชี่ยวชาญด้านสตั๊นต์แทบทุกคนที่ทำงานให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ เจสันเองก็สุดยอด ประสบการณ์ทางด้านกระโดดน้ำของเขาช่วยเขาได้มาก และเขาก็เข้าใจท่าการต่อสู้ที่เราออกแบบเอาไว้ได้อย่างรวดเร็วมาก"ที่จริง เจอริโก้ ตัวละครของสเตแธมนั้นจะต้องต่อสู้กับนักรบถึง 12 คนในฉากสตั๊นต์ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ "เจสันสามารถจัดการแสดงฉากนั้นได้ดีมากกว่านักแสดงทุกคนที่ผมเคยร่วมงานมาเสียอีก"
การสร้างดาวอังคารในนิวเม็กซิโก
คุณจะเปลี่ยนแปลงเหมืองยิปซั่มนอกเมืองอัลบูคิวเออร์, นิวเม็กซิโกให้กลายเป็นเหมืองแร่ชายนิ่ง แคนยอน บนดาวอังคารได้อย่างไร คุณเริ่มต้นด้วยตารางการเตรียมงานที่มีอยู่น้อยนิดเพียงแค่ 8 อาทิตย์ จากนั้น คุณต้องนำภาพในจินตนาการที่โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ได้ออกแบบเอาไว้มาผสมผสานกับจินตนาการของผู้กำกับ คุณต้องปรับพื้นที่ 55 เอเคอร์ของเหมืองแร่ยิปซั่ม สร้างถนนสายหลัก และพื้นที่ว่างสำหรับอาคาร 12 หลัง ภายใต้อุณหภูมิ 120 องศาตอนกลางวัน คุณต้องสร้างฉากกลางแจ้งขึ้นมา และต้องเจ็บใจกับการต้องมานั่งสร้างที่คุ้มกันขึ้นเพื่อป้องกันสถานที่ดังกล่าวจากพายุที่กระหน่ำลงมา จากนั้น คุณก็ต้องทาสีฉากทั้งหมดด้วยสีผสมอาหารสีแดงจำนวน 100,000 แกลลอน
"คณะกรรมการภาพยนตร์ของนิวเม็กซิโกเข้ามาเจรจากับพวกเรา" คิงเล่า "พวกเขานำเอาภาพของเหมืองแร่ยิปซั่มแห่งนั้นมาลงสีให้แดง แล้วก็พยายามนำมาขายให้กับฉัน" และการยืนยันจากอินเดียนแดงเผ่าเซียว่า ทีมงานสามารถยกกองไปถ่ายทำกันที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาได้ ก็ทำให้คิงเชื่อมั่นว่าการถ่ายทำภาพยนตร์ที่นั่นจะต้องให้ผลดีแน่
ผู้กำกับจอห์น คาร์เพนเตอร์นั้นมีไอเดียที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาต้องการให้ดาวอังคารของเขามีลักษณะเป็นอย่างไร "ผมทำการค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องการตั้งอาณาจักรบนดาวอังคารมา" คาร์เพนเตอร์เล่า "จากนั้นผมก็ถามตัวเองว่าโลกแบบไหนที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ถ้าเราต้องขึ้นไปตั้งอาณานิคมบนดาวอังคาร ผมรู้สึกว่าชีวิตเริ่มแรกบนดาวอังคารจะต้องเหมือนกับอเมริกาในยุคบ้านป่าเมืองเถื่อน"
เมื่อมีความคิดเช่นนั้น คาร์เพนเตอร์รู้ดีว่ามีเพียงอาคารและเครื่องจักรกลของยุคอุตสาหกรรมเท่านั้นที่จะอยู่บนนั้นรอด และมันก็กลายเป็นความกระจ่างที่นำไปสู่ภาพลักษณ์ที่โดดเด่นของฉากดาวอังคารของเขา ถึงแม้ว่าเนื้อเรื่องของภาพยนตร์จะกินเวลาอยู่ในช่วงอีก 200 ปีในอนาคตแต่ตัวตึกและเครื่องยนต์กลไกต่างๆ จะต้องไม่ดูเป็นโลกอนาคตนัก
เพื่อช่วยให้ได้ภาพเช่นนั้น คาร์เพนเตอร์และคิงได้ดึงโปรดักชั่น ดีไซเนอร์ บิลล์ เอลเลียตต์ให้เข้ามาออกแบบฉากให้ "ผมคุ้นเคยกับงานของบิลล์อยู่แล้ว" คาร์เพนเตอร์บอก "เขาเป็นโปรดักชั่น ดีไซเนอร์ที่เก่งมาก แต่ผมสังเกตเห็นว่าเขายังไม่เคยมีโอกาสได้ทำภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์มาก่อนเลย ผมได้พบเขา และเราทั้งคู่ต่างก็ตื่นเต้นกับความเป็นไปได้นี้มาก บิลล์ไม่เพียงแต่ออกแบบฉากที่เหลือเชื่อให้กับผมเท่านั้น แต่เขายังช่วยแก้ปัญหาทางด้านภูมิศาสตร์เพื่อให้ได้ภาพลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแต่ใช้เงินทุนสร้างน้อยที่สุด"
ตัวตึกรามต่างๆ จะมีลักษณะที่ตั้งรวมกันเป็นกระจุกดูมั่นคง และโดดเด่นบนพื้นที่ตั้งของดาวอังคาร ไอเดียในการออกแบบอาคารเหล่านี้เกิดมาจากจินตนาการของคาร์เพนเตอร์ และเอลเลียตต์ แต่ก็ต้องยืนอยู่บนหลักความเป็นจริงของดาวอังคารด้วย "ความคิดที่อยู่เบื้องหลังฉากของเราก็คือ ลักษณะแบบไหนที่จะสามารถใช้งานได้บนดาวอังคาร" คิงบอก "ซึ่งมันยังคงเป็นเรื่องยากที่จะไปถึงที่นั่นได้ และเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้นไปอีกที่จะนำวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ไปที่ดาวอังคารเพื่อสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมา"
ภาพลักษณ์ของฉาก
แน่นอนว่า สภาพบรรยากาศบนดาวอังคารจะต้องมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปได้ง่ายด้วยอิทธิพลของแรงระเบิดจากอุกกาบาตและลมกำลังแรง "บิลล์ เอลเลียตต์ได้รูปแบบมาจากปิรามิด และสถาปัตยกรรมของพวกมายา เพื่อสร้างสิ่งที่เราคิดว่าน่าจะเกิดขึ้นในลักษณะที่เป็นแค้มป์ก่อน จากนั้นก็กลายเป็นเมือง" คิงกล่าว
"เพราะภาพดาวอังคารที่จอห์นมีอยู่ในหัวเป็นดาวอังคารที่ยังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนอยู่ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่ดูไฮเทคนัก" เอลเลียตต์ โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ อธิบาย "ผมคิดว่ามันคงจะน่าสนใจกว่าเยอะที่จะสร้างฉากที่ถูกสร้างขึ้นมาจากวัสดุที่สามารถหาได้บนดาวอังคารเอง แนวคิดที่สำคัญของผมจึงเป็นการย้อนกลับไปหายุคเครื่องจักรกล"
เอลเลียตต์ได้นำแนวคิดการออกแบบนั้นใส่ลงไปในงานสร้างรถไฟที่มีบทบาทสำคัญในภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเขาได้สร้างพาหนะที่มีขนาดใหญ่และมีกำลังสูงขึ้นมา ตามที่เอลเลียตต์บอกเอาไว้ "มันแทบจะเหมือนกับสิ่งที่พวกเยอรมันได้สร้างเอาไว้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2"
เอลเลียตต์ตัดสินใจที่จะไม่ศึกษาเรื่องของดาวอังคารจากหนังสือ ภาพยนตร์ หรือข้อมูลจากสื่ออื่นใด "นอกเหนือไปจากภาพถ่ายจากนาซ่าแล้ว เพื่อให้ได้สีสันที่ดูเหมาะสม สิ่งที่คุณเห็นล้วนแล้วแต่เกิดมาจากจินตนาการอันบรรเจิดของผมกับจอห์นทั้งนั้น โดยเราตั้งความหวังไว้ว่ามันคงจะเป็นสิ่งที่คนดูไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน และไม่คาดว่าจะได้เห็นด้วย"
เพื่อให้ภาพที่เขาคิดเอาไว้เป็นจริงขึ้นมาได้ เอลเลียตต์ต้องประสานการทำงานไปกับผู้กำกับภาพ แกรี่ บี คิ๊บบี้ และคอสตูม ดีไซเนอร์ โรบิน บุช ซึ่งล้วนแล้วแต่เคยทำงานร่วมกับจอห์น คาร์เพนเตอร์มาแล้วทั้งนั้น "เห็นได้ชัดว่าผมต้องใช้ข้อมูลทั้งจากแกรี่และโรบิน" เอลเลียตต์กล่าว "เราทุกคนต่างต้องร่วมมือกันในการสร้างภาพยนตร์ของจอห์น คาร์เพนเตอร์เรื่องนี้ขึ้นมา แต่เราทุกคนก็เห็นพ้องต้องกันอีกว่าเราอยากจะสร้างมันออกมาให้สุดขั้ว และแสดงให้คนดูได้เห็นภาพดาวอังคารแบบที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน"
ผู้กำกับภาพ แกรี่ คิ๊บบี้มีปัญหาในการทำงานกับเอลเลียตต์น้อยมาก พวกเขาทั้งคู่ได้เดินทางไปอยู่ในนิวเม็กซิโกเพื่อดูแลงานสร้างฉากตั้งแต่วันแรก คิ๊บบี้และผู้กำกับคาร์เพนเตอร์จะจดบันทึกร่วมกันเพื่อให้ต่างฝ่ายต่างรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร คาร์เพนเตอร์กล่าวชื่นชมผู้กำกับภาพของเขาเอาไว้ว่า "ผมทำงานกับแกรี่มาแทบจะตลอดเวลานับแต่ปี 1986 เป็นต้นมา" คาร์เพนเตอร์บอก "เขาได้นำความรู้ จินตนาการ และความเป็นมืออาชีพมาสู่ภาพยนตร์ของผมหลายเรื่องทีเดียว"
แต่คิ๊บบี้และเอลเลียตต์ยังไม่เคยทำงานด้วยกันมาก่อน แต่การที่ได้มาดูการทำงานของเอลเลียตต์นับตั้งแต่แรกทำให้คิ๊บบี้สามารถวางแผนการให้แสง และออกแบบลักษณะแสงได้ล่วงหน้าก่อนที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น "เวลาที่ผมต้องทำงานกับภาพยนตร์ที่จะต้องถ่ายทำกันตอนกลางคืนซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทั้งฉากกลางแจ้งและฉากในอาคารล้วนแต่มีความมืดมิดทั้งนั้น ส่วนมากแล้วผมจะเป็นห่วงในเรื่องที่ว่าผมจะต้องให้แสงมากขนาดไหนเพื่อให้มองออกถึงความแตกต่างของสี" คิ๊บบี้อธิบาย "การทำงานร่วมกับบิลล์ตั้งแต่แรกแบบนี้ทำให้ผมมีโอกาสได้ออกแบบสิ่งต่างๆ เอาไว้ในหัวตั้งแต่แรก ด้วยตารางการทำงานที่มีน้อยมาก ผมต้องคิดเรื่องต่างๆ เอาไว้เยอะมาก แต่โดยทั่วไปแล้ว จากประสบการณ์การทำงานของผม ถ้ามันดูดีแล้ว ผมก็จะถ่ายภาพเอาไว้เลย"
ชุดที่ต้องใส่บนดาวอังคาร
คอสตูม ดีไซเนอร์ โรบิน บุชพบงานที่ยากกว่าปกติหลายอย่างด้วยกัน บุชที่เคยร่วมงานกับคาร์เพนเตอร์และผู้อำนวยการสร้างคิงในงานสร้างภาพยนตร์มาแล้ว 7 เรื่อง พบข้อเสียเปรียบที่เธอต้องอยู่ในลอสแอนเจลิส ระหว่างที่ทีมงานคนอื่นๆ ไปเตรียมงานกันอยู่ในนิวเม็กซิโก "ฉันเคยทำงานกับจอห์นมาแล้ว ซึ่งก็ทำให้การทำงานมักจะเป็นเรื่องง่าย" บุชเล่า "แต่ฉันก็ต้องการข้อมูลจากโปรดักชั่น ดีไซเนอร์ และผู้กำกับภาพ เพื่อให้ฉันสามารถเกิดไอเดียในการออกแบบเครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะในเรื่องของการเลือกเนื้อผ้าและสีสันได้ แต่การต้องอยู่ห่างจากกองถ่ายเป็นพันไมล์แบบนี้ ฉันต้องพึ่งพาภาพสเก็ตช์และภาพถ่ายจากบิลล์และแกรี่เท่านั้น"
และเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด งานของบุชที่ต้องออกแบบเสื้อผ้าให้กับภาพยนตร์เรื่อง Ghosts of Mars จึงเป็นงานที่น่าหวั่นเกรงไม่น้อย ในขณะที่จะต้องคำนึงถึงงานออกแบบฉากของเอลเลียตต์ โทนสี และการให้แสงของคิ๊บบี้ บุชก็ต้องออกแบบชุดฟอร์มของพวกตำรวจบนดาวอังคาร คนงานเหมืองแร่ และชุดของวิญญาณนักรบชาวดาวอังคารด้วย ซึ่งการออกแบบชุดเหล่านี้แต่ละชุดล้วนแต่มีความท้าทายแฝงอยู่ในตัวมันเองทั้งนั้น
"ฉันต้องการชุดตำรวจที่จะต้องดูเท่หน่อย" บุชเล่า "และแทนที่จะใช้สีดำ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาในการจัดแสงค่อนข้างเยอะ ฉันจึงใช้หนังสีน้ำเงินแวววาว ซึ่งจะทำให้เห็นได้ชัดในเวลากลางคืน และดูตัดกันดีกับสีแดงบนดาวอังคาร สำหรับพวกคนงานเหมือง การค้นคว้าบอกกับฉันว่า ไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนไปแค่ไหน ชุดของคนงานในเหมืองจะเปลี่ยนแปลงไปไม่มากนัก แล้วชายนิ่งแคนยอนก็มีลักษณะแบบเหมืองแร่แถวๆ แถบตะวันตกที่ให้ความรู้สึกสไตล์ตะวันตก ฉันจึงออกแบบเสื้อผ้าโดยคำนึงถึงแนวคิดนั้นเอาไว้ตลอด ฉันจึงใช้สีน้ำตาล และสีเอิร์ธโทนกับสีสนิมเป็นหลัก"
การออกแบบชุดให้กับวิญญาณนักรบชาวดาวอังคารเป็นงานที่สร้างความท้าทายให้กับบุชอย่างมาก พวกเขาจะอาศัยอยู่ในร่างของคนงานเหมืองที่พวกเขาฆ่า และยังคงสวมเสื้อผ้าชุดเดิมๆ แต่เมื่อกลุ่มนักรบทำการเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ด้วยการเจาะร่างกายและทาสีใบหน้า บุชก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับพวกเขาด้วยเช่นกัน "สำหรับพวกนักรบ นอกเหนือไปจากรอยฉีกขาดและรูที่ปรากฏบนเสื้อผ้าแล้ว ฉันจะเปลี่ยนลักษณะโดยทั่วๆ ไปของเสื้อผ้าด้วยการเน้นที่บริเวณไหล่ เราจะมองเห็นสีแดงแทนที่จะเป็นสีสนิม และทำให้พวกเขามีลักษณะที่ดูน่าขนลุก และใช้สีสันที่มันหนักขึ้น"
"วิลเลี่ยมส์ ผู้หงอยเหงาเป็นตัวละครที่ออกแบบเสื้อผ้าได้ง่ายที่สุด" บุชบอก "เขาจะใส่กางเกงพรางตัวสีแดงเพื่อให้เข้ากับสีสันของพื้นที่ กับเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำที่เขาอาจจะขโมยใครมาใส่ก็ได้"
เสื้อผ้าทุกตัวจะต้องถูกตัดเย็บจากภาพสเก็ตช์ภายในเวลาหกอาทิตย์ นอกเหนือไปจากเสื้อผ้าของนักแสดงในบทหลักๆ แล้ว บุชยังต้องตัดเย็บและหาเสื้อผ้าให้กับตัวประกอบอีก 150 คนและสตั๊นต์แมน 35 คน เสื้อผ้าทั้งหมดจะต้องตัดเย็บขึ้นมาใหม่ จากนั้นก็ทำให้ดูเก่าขึ้น ซึ่งงานนี้เป็นเรื่องง่ายมากเพราะบุชนั้นสนิทกับผู้กำกับคาร์เพนเตอร์อยู่แล้ว "แรงบันดาลใจของฉันเกิดมาจากความคิดที่พิศดารของฉันเอง" บุชบอก "แต่ฉันก็มักจะมีไอเดียดีๆ ถึงสิ่งที่จอห์นต้องการเสมอ บทภาพยนตร์ของเขามันบอกอะไรไว้ตรงๆ อยู่แล้ว" ฃ(ยังมีต่อ)
-อน-