มข.เสนอรัฐ หนุนปลูกข้าวยั่งยืน ลดต้นทุน เพิ่มกำไร ลดก๊าซเรือนกระจก ชี้สร้างโอกาสการแข่งขันในตลาดโลก - ลดเงินอุดหนุนจากรัฐ 4-5 หมื่น ลบ.ต่อปี

คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เผยผลการศึกษาการพัฒนาข้าวยั่งยืน (The Sustainable Rice Platform : SRP) ระบุ ต้นทุนการผลิตลดลง-เพิ่มผลผลิตต่อไร่ กำไรเพิ่ม และยังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตอบโจทย์ BCG ของประเทศ ชี้ตลาดต่างประเทศต้องการข้าว SRP กว่าแสนตันต่อปี เสนอรัฐหนุนปลูกเพื่อสร้างโอกาสการแข่งขันในตลาดโลก ทั้งยังลดการพึ่งพิงเงินอุดหนุนจากภาครัฐกว่า 4-5 หมื่นล้านบาทต่อปี

Thursday 12 June 2025 14:21
มข.เสนอรัฐ หนุนปลูกข้าวยั่งยืน ลดต้นทุน เพิ่มกำไร ลดก๊าซเรือนกระจก ชี้สร้างโอกาสการแข่งขันในตลาดโลก - ลดเงินอุดหนุนจากรัฐ 4-5 หมื่น ลบ.ต่อปี

รองศาสตราจารย์ภูมิสิทธิ์ มหาสุวีระชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หัวหน้าโครงการประเมินค่าของระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพในการพัฒนาระบบผลิตข้าวในประเทศไทย ภายใต้โครงการ The Economics of Ecosystems and Biodiversity (TEEB) For Agriculture and food ประเทศไทย กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการฯว่า ผลการศึกษาในปี 2567 เริ่มต้นจากพื้นที่นำร่องในอำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น ครอบคลุม 37 หมู่บ้าน โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 249 ครัวเรือน ทำการเพาะปลูกข้าวในพื้นที่ 1,500 ไร่ ผลการวิจัยพบว่าเกษตรกรที่ปลูกข้าวยั่งยืนตามมาตรฐาน SRP (The Sustainable Rice Platform) จำแนกเป็นข้าวหอมมะลิ 105 ได้กำไรเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1,600 บาทต่อไร่ ขณะที่เกษตรกรที่ปลูกข้าวเหนียว กข6 ได้กำไรเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1,700 บาทต่อไร่ เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการปลูกแบบเดิม ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นมาจากการลดต้นทุนการผลิตข้าวต่อกิโลกรัมลงประมาณ 30% แม้ว่าต้นทุนต่อไร่จะสูงขึ้นเนื่องจากการใช้ปุ๋ยตามสูตรที่ถูกต้องและในปริมาณที่เหมาะสม แต่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นถึง 30% ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตโดยรวมดีขึ้น เกษตรกรยังได้รับราคาสูงกว่าราคาตลาดเล็กน้อย เนื่องจากข้าวที่ผลิตได้มีคุณภาพระดับพรีเมียม

รองศาสตราจารย์ภูมิสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การศึกษาวิเคราะห์ประโยชน์ต่อสาธารณะจากโครงการ พบว่าการห้ามเผาข้าวหลังฤดูเก็บเกี่ยว ช่วยลดมลพิษทางอากาศซึ่งนำไปสู่การลดต้นทุนการดูแลสุขภาพเฉลี่ยต่อไร่จำนวน 112 บาท เมื่อคำนวณกับพื้นที่ทั้งหมด 1,500 ไร่ ทำให้ลดต้นทุนค่ารักษาพยาบาลได้กว่า 168,000 บาทต่อปี นอกจากนั้นการผลิตข้าวด้วยวิธี SRP ช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกคิดเป็นมูลค่า 974 บาทต่อไร่ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย BCG (Bio-Circular-Green Economy) ของประเทศ โดยโครงการนี้สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการปลูกข้าวได้ 20-30% นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่าจะช่วยลดการพึ่งพิงเงินอุดหนุนจากภาครัฐที่ใช้ไปกับเกษตรกรปลูกข้าวปีละ 40,000-50,000 ล้านบาท หากเกษตรกรสามารถสร้างกำไรจากการปลูกข้าวได้ด้วยตนเอง

สำหรับกระบวนการทำงานและการขยายผลภายใต้โครงการฯ มีดังนี้ คือ เริ่มจากการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ สำนักงานเกษตรจังหวัดขอนแก่นและกรมชลประทาน เพื่อคัดเลือกพื้นที่และเกษตรกรที่เข้าร่วม จากนั้นสร้าง NODE (Local Lead Farmer) เพื่อทำหน้าที่ประสานงานและติดตามเกษตรกรในพื้นที่ โดยแต่ละ NODE ดูแลเกษตรกรประมาณ 10-15 คน และในปี 2568 ได้สานต่อโครงการ"Thai Rice for Life: รู้คุณค่าข้าว เพื่อชีวิต และธรรมชาติ" โดยขยายพื้นที่ต่อเนื่องในอำเภอพระยืน และมีการขยายพื้นที่ใหม่ไปยัง 3 อำเภอ ในจังหวัดขอนแก่น ได้แก่ อำเภอพล อำเภอหนองสองห้อง และอำเภอน้ำพอง โดยมีเกษตรกรเข้าร่วม 1,150 ครัวเรือน กระจายอยู่ใน 83 หมู่บ้าน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 16,000 ไร่

รองศาสตราจารย์ภูมิสิทธิ์ กล่าวถึงการฝึกอบรมและผลผลิตว่า การฝึกอบรมเกษตรกรจัดเป็น 3 โมดูล ได้แก่ โมดูลที่ 1 การวางแผนการเพาะปลูก การเลือกเมล็ดพันธุ์ และการเตรียมดิน โมดูลที่ 2 การใส่ปุ๋ย การจัดการน้ำ และการจัดการศัตรูพืช และโมดูลที่ 3 การเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวโดยไม่มีการเผานาข้าว สำหรับผลผลิตจากโครงการฯในปีที่ผ่านมาบริษัทเอกชนได้เข้ามารับซื้อข้าวโดยตรงจากเกษตรกรในโครงการประมาณ 170 ตัน ขณะที่ในปี 2568 เกษตรกรแจ้งจำนงจะขายข้าวประมาณ 2,800-2,900 ตัน จากผลผลิตจริงที่คาดว่าจะได้ประมาณ 4,000 ตัน อย่างไรก็ตาม เป้าหมายระยะยาวของโครงการคือการสร้างเกษตรกรต้นแบบจำนวน 1,000 คนใน 500 หมู่บ้าน ในปี 2569 เพื่อเกษตรกรต้นแบบเหล่านี้จะเป็นฐานในการขยายกลุ่มเป้าหมายให้ได้ 10,000 ครัวเรือนในปี 2570 และ 40,000 ครัวเรือนในปี 2571 ซึ่งทำให้พื้นที่เพาะปลูกข้าวที่ใช้วิธีการเพาะปลูกแบบปัจจุบันเปลี่ยนเป็นพื้นที่เพาะปลูกข้าว SRP ประมาณ 400,000 ไร่ ในปี 2571

"ปัจจุบันข้าว SRP มีความต้องการในตลาดต่างประเทศสูง โดยเฉพาะตลาดอเมริกาที่เป็นตลาดข้าวหอมมะลิหลักของไทยเริ่มให้ความสนใจข้าว SRP โดยมีปริมาณความต้องการในระดับหลายหมื่นตันหรืออาจถึงแสนตันต่อปี และตลาดสหภาพยุโรปที่มีความต้องการข้าวที่ได้รับรองมาตรฐาน SRP จากไทยหลายหมื่นตันต่อปี ดังนั้นการพัฒนาข้าวยั่งยืนจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะในตลาดที่มีมูลค่าสูง หากไม่ส่งเสริมให้เกิดข้าว SRP ในระยะยาว ประเทศไทยมีโอกาสเสียตลาดให้กับประเทศคู่แข่งโดยเฉพาะเวียดนามที่ประกาศผลิตข้าวคาร์บอนต่ำภายใน 3-4 ปีข้างหน้า แต่ปัญหาหลัก คือ ระบบการสนับสนุนเกษตรกรของภาครัฐยังเป็นการสนับสนุนแบบไม่มีเงื่อนไขและไม่เฉพาะเจาะจงทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ขาดแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเพาะปลูก นอกจากนั้นเงินทุนวิจัยของภาครัฐที่ไม่สูงและไม่ต่อเนื่องทำให้การทำงานวิจัยเพื่อสร้างต้นแบบและขยายผลใน Scale ขนาดใหญ่ทำได้ค่อนข้างจำกัดและไม่ต่อเนื่อง

ดังนั้น จึงอยากให้ภาครัฐออกนโยบายสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนมาร่วมสนับสนุนโครงการ โดยสร้างแพลตฟอร์ม Cluster เชื่อมข้อมูลทั้งระบบ สร้างกลไกเชื่อมต่อตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เพื่อให้การพัฒนาข้าว SRP ของไทยมีความยั่งยืน สามารถรักษาฐานเกษตรกรที่มีอยู่ และเสริมสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดส่งออกข้าวระดับโลก" รองศาสตราจารย์ภูมิสิทธิ์ กล่าวในตอนท้าย

มข.เสนอรัฐ หนุนปลูกข้าวยั่งยืน ลดต้นทุน เพิ่มกำไร ลดก๊าซเรือนกระจก ชี้สร้างโอกาสการแข่งขันในตลาดโลก - ลดเงินอุดหนุนจากรัฐ 4-5 หมื่น ลบ.ต่อปี