แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า เนื่องในวันที่ 25 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันไอโอดีนแห่งชาติ กรมอนามัยมีการจัดกิจกรรมรณรงค์อย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "ทุกบ้าน ทุกครัวเรือน ต้องมีไอโอดีน" เพื่อสร้างความตระหนักรู้และเสริมสร้างพฤติกรรมการบริโภคไอโอดีนอย่างถูกต้อง ได้รับไอโอดีนในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายทุกกลุ่มวัย สำหรับปริมาณไอโอดีนที่แนะนำต่อวันของเด็กแรกเกิด - 5 ปี ประมาณ 90 ไมโครกรัม เด็กอายุ 6 - 12 ปี ประมาณ 120 ไมโครกรัม เด็กวัยรุ่น - ผู้ใหญ่ ประมาณ 150 ไมโครกรัม หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ประมาณ 250 ไมโครกรัม นอกจากไอโอดีนที่ได้รับจากอาหารที่รับประทานเป็นประจำ เช่น ไข่ นม อาหารทะเล ประเทศไทยยังได้กำหนดกฎหมายให้เกลือบริโภคต้องมีปริมาณไอโอดีนไม่น้อยกว่า 20 มิลลิกรัม และไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อเกลือบริโภค 1 กิโลกรัม นอกจากนี้ น้ำปลา ซีอิ๊ว และซอสปรุงรส ต้องมีปริมาณไอโอดีนไม่น้อยกว่า 2 มิลลิกรัมและไม่เกิน 3 มิลลิกรัมต่อน้ำปลา 1 ลิตร เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงง่าย มีความปลอดภัยและได้มาตรฐาน รวมทั้งขับเคลื่อนชุมชน หมู่บ้านไอโอดีน ให้ชุมชนมีความตระหนักและสามารถจัดการตนเองในการป้องกันและควบคุมโรคขาดสารไอโอดีนได้อย่างยั่งยืน โดยเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเข้าถึงแหล่งไอโอดีน ได้แก่ ร้านค้าในหมู่บ้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมไอโอดีน ร้านอาหารปรุงประกอบอาหารโดยใช้ผลิตภัณฑ์เสริมไอโอดีน สถานบริการสาธารณสุขมีบริการจ่ายยาเม็เสริมไอโอดีนให้ หญิงตั้งครรภ์และหญิงหลังคลอด เพื่อให้คนไทยทุกคนได้รับไอโอดีนในปริมาณที่เหมาะสม
แพทย์หญิงสายพิณ โชติวิเชียร ผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ กล่าวว่า การจัดกิจกรรมรณรงค์วันไอโอดีนแห่งชาติ ภายใต้แนวคิด "ทุกบ้าน ทุกครัวเรือน ต้องมีไอโอดีน" ปีนี้ สำนักโภชนาการได้ลงพื้นที่จัดกิจกรรมที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งมีผลการดำเนินงานควบคุมและป้องกันโรคขาดสารไอโอดีนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้น การสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร หรือประชาชนทั่วไป การจัดกิจกรรมได้รับการสนับสนุนจากจังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา และนายกองค์การบริหารส่วนตำบลโพรงอากาศ โดยกิจกรรมในวันนี้ ประกอบด้วย 1) การให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการร้านค้าที่จำหน่ายเกลือบริโภคเสริมไอโอดีนและผลิตภัณฑ์เสริมไอโอดีน ผู้ประกอบการร้านอาหารที่ปรุงประกอบอาหารโดยใช้ผลิตภัณฑ์เสริมไอโอดีน 2) การเฝ้าระวังคุณภาพเกลือในครัวเรือน โดยใช้ชุดทดสอบ 1-Kit 3) การให้ความรู้แก่หญิงตั้งครรภ์ โดยให้คำแนะนำในการบริโภคอาหารที่มีไอโอดีนและการกินยาเม็ดเสริมไอโอดีน พร้อม 4) การส่งเสริมงาน "มหัศจรรย์ 1000 วัน Plus สู่ 2500 วัน" เพื่อสร้างเสริมสุขภาพแม่และเด็กในระยะวิกฤติ และ 5) การพัฒนา "หมู่บ้านไอโอดีน" โดยมุ่งหวังให้ครอบคลุมร้อยละ 100 ของพื้นที่เป้าหมาย
