EBC Financial Group ประเมินภาพเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังยังคงมีความเปราะบางจากหลายปัจจัย ทั้งการเมืองภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ สงครามการค้าโลก และแนวโน้มเศรษฐกิจหลักอย่างสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่นที่ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อตลาดการเงินอย่างต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญไทยมีคำสั่งให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยุติการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว จากกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง สมเด็จฮุน เซน จุดชนวนการเมืองไทยให้กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง คำสั่งศาลที่ให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่นั้นเกิดขึ้นในวันเดียวกับที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ครม. ชุดใหม่ "แพทองธาร 2" สะท้อนว่าการเมืองยังเป็นตัวแปรสำคัญที่ฉุดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
4 ปัจจัยกดดันเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง
ข้อมูลของ ธนาคารแห่งประเทศไทย ยืนยันว่า เศรษฐกิจเดือนพฤษภาคมยังคงชะลอตัว โดยรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติหดตัว 7% จากเดือนก่อนหน้า จำนวนผู้เดินทางลดลง 2.9% โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวระยะไกลที่มีกำลังใช้จ่ายสูง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมก็ลดกำลังการผลิตลง 0.6% จากแรงกดดันสินค้าคงคลังและการซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้ำมัน ภาคการลงทุนและการบริโภคยังขยายตัวเพียงเล็กน้อย สะท้อนความกังวลเรื่องหนี้ครัวเรือนและนโยบายสหรัฐฯ
EBC Financial Group วิเคราะห์ว่า ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ยังต้องติดตามใกล้ชิดมี 4 ประเด็นหลัก ได้แก่
- ทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และจีน
- ความเปราะบางของการท่องเที่ยว
- การปรับตัวของธุรกิจต่อการแข่งขันและพฤติกรรมผู้บริโภค
- ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และเสถียรภาพทางการเมืองไทย
ตลาดโลกผันผวน
นอกจากปัจจัยภายในแล้ว ความผันผวนในภูมิภาคเอเชียยังรุนแรงขึ้นจากสถานการณ์ล่าสุดในญี่ปุ่นและจีน โดยค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อ USD/JPY ร่วงลงแตะระดับ 143.50 หลังผลสำรวจ BoJ Tankan ไตรมาส 2 ของญี่ปุ่นส่งสัญญาณเชิงบวกเหนือคาดเล็กน้อย สะท้อนความเชื่อมั่นธุรกิจภาคการผลิตที่ฟื้นตัว ขณะที่ Manufacturing PMI เดือนมิถุนายนของญี่ปุ่นกลับมาสูงกว่า 50 เป็นครั้งแรกในรอบ 13 เดือน แม้ภาพรวมธุรกิจบริการและผู้ผลิตยังประเมินว่าภาวะเศรษฐกิจใน 3 เดือนข้างหน้าอาจอ่อนตัวลง
ขณะที่จีนเองก็มีสัญญาณฟื้นตัวในฝั่งอุตสาหกรรมเช่นกัน โดยดัชนี Caixin Manufacturing PMI เดือนมิถุนายนดีดขึ้นแตะ 50.4 จาก 48.3 เดือนก่อนหน้า ส่งสัญญาณกลับสู่โซนขยายตัว แม้คำสั่งซื้อส่งออกยังอ่อนแรงและภาคจ้างงานยังหดตัว สะท้อนว่าการเติบโตยังต้องพึ่งนโยบายกระตุ้นจากภาครัฐต่อไป
อีกด้านหนึ่ง ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง โดยดัชนีค่าเงินดอลลาร์ยังใกล้ระดับต่ำสุดรอบ 3 ปี หลังตลาดเชื่อว่า Fed มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยภายในกันยายนนี้ ประกอบกับความกังวลต่อ "Big Beautiful Bill" ของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่อาจเพิ่มภาระหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ อีกกว่า 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า สร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศลงทุนทั่วโลก
สถานการณ์นี้ส่งผลให้ค่าเงินในเอเชียหลายสกุลยังเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด ท่ามกลางความไม่แน่นอนเรื่องสงครามการค้าใหม่ที่ทรัมป์ขู่จะกดดันญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นด้วยมาตรการภาษีข้าว และยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนก่อนกำหนดเส้นตายวันที่ 9 กรกฎาคมนี้
สำหรับประเทศไทย แม้เงินบาทยังแข็งค่าตามภูมิภาค ล่าสุดอยู่ที่ 32.63 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่เงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบควบคุม แต่ภาพรวมเศรษฐกิจยังคงเปราะบาง โดย GDP อาจขยายตัวได้เพียง 1.5-1.7% ตามการประเมินของหลายสำนักวิจัย หากการเมืองภายในยืดเยื้อ และแรงส่งจากการท่องเที่ยว-การส่งออกแผ่วลง
EBC Financial Group จึงแนะนำนักลงทุนและภาคธุรกิจไทยให้จับตาปัจจัยความเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด บริหารพอร์ตลงทุนอย่างระมัดระวัง และติดตามพัฒนาการด้านนโยบายการค้า สงครามภาษี รวมถึงทิศทางดอกเบี้ยของ Fed ที่ยังเป็นตัวแปรสำคัญต่อทิศทางค่าเงินและตลาดการเงินโลกในช่วงครึ่งปีหลังนี้
เกี่ยวกับ EBC Financial Group
EBC Financial Group (EBC) ก่อตั้งขึ้นในย่านการเงินที่มีชื่อเสียงของกรุงลอนดอน เป็นแบรนด์ด้านโบรกเกอร์การเงินและการบริหารจัดการสินทรัพย์ ผ่านหน่วยงานที่ได้รับการควบคุมในหลายเขตการเงิน เช่น สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย หมู่เกาะเคย์แมน มอริเชียส และอื่น ๆ
ในฐานะพันธมิตรอย่างเป็นทางการด้านการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของทีมฟุตบอล FC Barcelona, EBC ให้บริการเฉพาะทางครอบคลุมภูมิภาคเอเชีย ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง แอฟริกา และโอเชียเนีย นอกจากนี้ EBC ยังร่วมมือกับองค์กร United to Beat Malaria เพื่อสนับสนุนโครงการสุขภาพทั่วโลก และสนับสนุนโครงการ "What Economists Really Do" ของภาควิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ซึ่งเป็นการส่งเสริมความเข้าใจและบทสนทนาเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์และการนำไปประยุกต์ใช้กับความท้าทายทางสังคมอย่างกว้างขวาง