SCGP เผยผลงานไตรมาส 2 เดินหน้าตามกลยุทธ์แข็งแกร่งในอาเซียน หนุนศักยภาพแข่งขันด้วย AI เทคโนโลยี-ความยั่งยืน เตรียมจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.25 บาท/หุ้น

SCGP แถลงผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2568 ทำรายได้จากการขาย 31,557 ล้านบาท EBITDA 4,257 ล้านบาท และกำไรสำหรับงวด 1,010 ล้านบาท จากกลยุทธ์มุ่งขายในประเทศอาเซียน รับแรงหนุนจากการใช้บรรจุภัณฑ์ภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น การบริหารต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพิ่มประสิทธิภาพจัดการต้นทุนยกระดับความยั่งยืน เดินแผนรับเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง รุกธุรกิจบรรจุภัณฑ์ เสริมแกร่งโซลูชันบรรจุภัณฑ์เพื่อมอบประสบการณ์และคุณค่าแก่ลูกค้า รับดีมานด์ในภูมิภาคที่เติบโตต่อเนื่อง เผยกลยุทธ์เชิงรุก "ห่วงโซ่การผลิตที่ยืดหยุ่น" รับมือนโยบายภาษี และเร่งปรับเร็วผ่านทีมบริหารระดับภูมิภาค (Regional Management) ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลอัตรา 0.25 บาท/หุ้น

Tuesday 29 July 2025 16:54
SCGP เผยผลงานไตรมาส 2 เดินหน้าตามกลยุทธ์แข็งแกร่งในอาเซียน หนุนศักยภาพแข่งขันด้วย AI เทคโนโลยี-ความยั่งยืน เตรียมจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.25 บาท/หุ้น

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ภูมิภาคอาเซียนในไตรมาส 2 ปี 2568 ได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในอาเซียนส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าภูมิภาคอื่น ๆ รวมถึงการเร่งส่งออกสินค้าของประเทศต่าง ๆ ไปยังสหรัฐอเมริกาก่อนถึงกำหนดการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้า โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคและในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มที่เติบโตต่อเนื่อง

SCGP ได้วางกลยุทธ์เติบโตภายในประเทศอาเซียนอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นการตลาดเชิงรุกผ่านโซลูชันบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ส่งผลให้ปริมาณการขายสินค้ากลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร โดยเฉพาะในเวียดนามเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้ราคาส่วนใหญ่ยังทรงตัว ส่วนกลุ่มธุรกิจเยื่อและกระดาษ ปริมาณการขายลดลงจากความต้องการที่ชะลอตัวในกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้เน้นบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ด้วยการใช้ AI และ Machine Learning ตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า โดยเฉพาะธุรกิจในอินโดนีเซียที่เริ่มนำ AI มาปรับใช้ และปรับสัดส่วนการใช้พลังงาน รวมถึงเพิ่มการใช้วัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) ภายในประเทศ และบริหารต้นทุนทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ EBITDA ถึงจุดคุ้มทุนตามเป้าหมาย และส่งผลดีต่อภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ทำให้ในไตรมาส 2 ปี 2568 SCGP มีรายได้จากการขาย 31,557 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2 EBITDA 4,257 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 และกำไรสำหรับงวด 1,010 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2568

นายวิชาญ กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ครึ่งปีหลัง คาดว่าอาเซียนจะมีความต้องการบรรจุภัณฑ์ภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค จากการกระตุ้นเศรษฐกิจและคาดการณ์จีดีพีเติบโตสูงกว่าภูมิภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ รวมถึงการเติมสต๊อกสินค้าในช่วงสิ้นปี ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) และค่าขนส่ง มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามความต้องการในภูมิภาคที่ปรับดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามผลกระทบจากมาตรการภาษี (Reciprocal Tariff) จากประเทศที่ยังไม่มีข้อสรุป

บริษัทฯ ได้เดินหน้ากลยุทธ์ขยายธุรกิจในกลุ่มที่มีศักยภาพเติบโตสูง ล่าสุด ได้ลงทุนเพิ่มใน Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation (Duy Tan) ประเทศเวียดนาม เพื่อเพิ่มโซลูชัน ความหลากหลายและครบวงจร ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในตลาดอาเซียนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เร่งขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจบรรจุภัณฑ์เพื่อผู้บริโภคตามกลยุทธ์เสริมความแข็งแกร่งให้กับฐานการดำเนินธุรกิจในเวียดนามที่มีศักยภาพสูงในภูมิภาค และเพิ่มความสามารถในการทำกำไรและการแข่งขันในระยะยาว

ด้านการรับมือมาตรการภาษี (Reciprocal Tariff) ปัจจุบัน SCGP มีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐฯ ประมาณร้อยละ 4 ของรายได้รวม ผ่านการส่งออกสินค้าเพื่อผู้บริโภค ทำให้มีผลกระทบจำกัด อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ดำเนินกลยุทธ์เชิงรุกเพิ่มการขายบรรจุภัณฑ์ภายในประเทศในอาเซียน และส่งออกไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น อินเดีย บังคลาเทศ ออสเตรเลีย เป็นต้น พร้อมใช้จุดแข็งจากห่วงโซ่การผลิตที่ยืดหยุ่น ฐานการผลิตที่หลากหลายในอาเซียน ครอบคลุมพอร์ตสินค้าและโซลูชันบรรจุภัณฑ์ครบวงจร ที่สามารถผสานการผลิตและวัตถุดิบ รวมถึงวางแผนร่วมกับลูกค้า และการพิจารณาการจ้างผลิต เพื่อให้ได้ต้นทุนที่แข่งขันได้ในแต่ละตลาด

SCGP เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและระบบ AI อย่างเป็นระบบ ยกระดับประสิทธิภาพตลอดห่วงโซ่การผลิต ลดต้นทุน และเสริมความยั่งยืนระยะยาว โดยใช้ระบบอัตโนมัติ เช่น Robotic Automation ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความปลอดภัยในกระบวนการผลิต การประยุกต์ใช้ AI ในกระบวนการผลิตแบบเรียลไทม์ และบริหารการผลิตระหว่างโรงงาน (Cross-plant Allocation) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลด Lead Time ฯลฯ ช่วยลดต้นทุนและสร้างมูลค่าทางธุรกิจรวม 120 ล้านบาทในครึ่งปีแรก

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ขับเคลื่อน ESG และเศรษฐกิจหมุนเวียน ตามแนวทางความยั่งยืนในระดับสากล โดยได้รับรางวัล Platinumจาก EcoVadis ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 อีกทั้งยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ไปแล้วกว่า 169 ผลิตภัณฑ์ และ 16 กระบวนการ หรือคิดเป็นร้อยละ 50 จากเป้าหมายครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2568

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2568 อัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,073 ล้านบาท โดยจะขึ้น XD วันที่ 8 สิงหาคม 2568 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 และเตรียมจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลวันที่ 27 สิงหาคม 2568