90% ของเชื้อ HPV ติดมาจากการมีเพศสัมพันธ์ แพทย์ รพ.วิมุต ย้ำ ตรวจเร็ว?ฉีดวัคซีนไว ก่อนเป็นมะเร็งปากมดลูก

หนึ่งในไวรัสอันตรายที่ทำให้เกิดโรคร้ายในระบบสืบพันธุ์คือไวรัส HPV เพราะเมื่อติดแล้วแทบไม่แสดงอาการใด ๆ ในระยะแรก และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่รุนแรงถึงขั้นกลายเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูก ซึ่งกรมการแพทย์ระบุว่าเป็นโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 5 ของผู้หญิงไทย มีผู้ป่วยรายใหม่ 5,422 คนต่อปี หรือเฉลี่ยวันละ 15 คน และเสียชีวิตถึงวันละ 6 คน ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่า HPV ไม่ใช่เรื่องไกลตัว และอาจนำไปสู่โรคร้ายหากไม่ป้องกันไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ วันนี้ นพ.กษิติ เที่ยงธรรม สูตินรีแพทย์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านมะเร็งวิทยานรีเวช ศูนย์สูตินรีเวช รพ.วิมุต จึงอยากชวนทุกคนไปรู้จัก HPV ให้ลึกขึ้น พร้อมไขข้อสงสัยทุกความเชื่อผิด ๆ ที่ทำให้เราห่างไกล HPV ได้ดีกว่าเดิม

Friday 1 August 2025 13:34
90% ของเชื้อ HPV ติดมาจากการมีเพศสัมพันธ์ แพทย์ รพ.วิมุต ย้ำ ตรวจเร็ว?ฉีดวัคซีนไว ก่อนเป็นมะเร็งปากมดลูก

HPV คืออะไร ทำไมจึงอันตราย

HPV (Human Papillomavirus) เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่นำไปสู่การเป็นโรคหูดและโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเชื่อมโยงกับ HPV ประมาณ 14 สายพันธุ์ จากกว่า 200 สายพันธุ์ที่มีอยู่ ส่วนใหญ่ถ้าร่างกายมีภูมิต้านทานปกติจะสามารถกำจัดเชื้อ HPV ได้เองภายใน 2 ปี โดยไม่มีอาการใด ๆ ซึ่งการติดเชื้อจะน่ากังวลก็ต่อเมื่อเชื้ออยู่ในร่างกายนานหรือติดสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงก่อโรคสูง

กว่า 90% ติดเชื้อ HPV จากการมีเพศสัมพันธ์

การติดเชื้อ HPV แทบทั้งหมดมาจากการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากไวรัสชนิดนี้ติดต่อผ่านการสัมผัสทางผิวหนังบริเวณที่มีแผล ซึ่งเป็นทางที่เชื้อสามารถเข้าไปในร่างกายได้ แม้จะเป็นแผลเล็กระดับไมโคร เช่น เยื่อบุอ่อนของช่องคลอดที่เวลาเสียดสีจะเกิดแผลขนาดเล็ก ๆ ได้ง่ายระหว่างกิจกรรมทางเพศ โดยไม่ว่าจะเป็นการสอดใส่ ใช้นิ้ว หรืออุปกรณ์อื่นก็ล้วนมีความเสี่ยงเท่า ๆ กัน นพ.กษิติ เที่ยงธรรม อธิบายว่า "หลายคนกังวลว่าการใช้ห้องน้ำสาธารณะหรือใช่สิ่งของร่วมกันจะทำให้ติดเชื้อ ซึ่งเป็นไปได้ แต่โดยทั่วไปการติดเชื้อที่ปากช่องคลอด มักไม่ได้ก่อโรคหรือเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งน้อยมากและในชีวิตประจำวันเราแทบไม่มีโอกาสสัมผัสบริเวณนั้นโดยตรง นอกจากการมีเพศสัมพันธ์ ที่น่ากังวลกว่านั้นคือเมื่อติดเชื้อแล้วมักจะไม่แสดงอาการชัดเจน ทำให้เราไม่รู้ว่ามีเชื้ออยู่ในร่างกาย ดังนั้นการตรวจคัดกรองสม่ำเสมอจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อจะได้ตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนจะพัฒนาไปสู่หูดหรือมะเร็งอันตราย"

รู้ให้ชัดก่อนตรวจคัดกรอง! ตรวจ Pap smear ไม่เท่ากับตรวจเชื้อ HPV

การคัดกรองมะเร็งปากมดลูกมี 2 วิธีหลัก ได้แก่ การตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear) ซึ่งเป็นการเก็บเซลล์จากปากมดลูกเพื่อตรวจหาความผิดปกติของเซลล์ วิธีนี้อาจไม่แม่นยำมากนัก เพราะความผิดปกติที่พบอาจไม่ได้เกิดจากเชื้อ HPV เสมอไป และมักเกิดความเข้าใจผิดว่าการตรวจ Pap Smear เพียงอย่างเดียวก็ครอบคลุมการตรวจหาเชื้อ HPV แล้ว ทั้งที่จริงไม่ใช่ เพราะมีการตรวจอีกวิธีคือ HPV DNA Test ที่เป็นการตรวจหาเชื้อ HPV ในร่างกายโดยตรง ซึ่งช่วยประเมินความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้แม่นยำกว่า ในปัจจุบันแนะนำเป็นการตรวจคัดกรองโดยหารหาเชื้อ HPV (Primary HPV testing) หรือจะทำร่วมกับการดูเซลล์ที่ปากมดลูกก็ได้ (Co-testing) โดยแนะนำให้ผู้หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์ควรตรวจคัดกรองสม่ำเสมอตั้งแต่อายุ 25 ปี และตรวจซ้ำทุก 3-5 ปี ตามคำแนะนำของแพทย์ นพ.กษิติ เที่ยงธรรม อธิบายเสริมว่า "เมื่อผลตรวจพบเชื้อ HPV บางคนอาจสงสัยเชื้อมาจากใครหรือจากพฤติกรรมอะไร แต่ความจริงคือการตรวจบอกได้เพียงว่ามีเชื้ออยู่ในร่างกายหรือไม่ ไม่ได้บอกกว่าติดมานานแค่ไหนหรือติดมาจากใคร ดังนั้นจึงไม่ควรด่วนสรุปว่าเราได้รับเชื้อมาจากใคร เพราะเชื้ออาจแฝงตัวอยู่นานหลายปีแล้วก็ได้"

ติดเชื้อ HPV หรือพบเซลล์ผิดปกติ ไม่ได้เป็นมะเร็งทันที

การตรวจคัดกรองเป็นเพียงการค้นหากลุ่มที่มีความเสี่ยง ไม่ใช่การวินิจฉัย เมื่อผลตรวจ Pap Smear หรือผลตรวจ HPV ออกมาผิดปกติ หมายความว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ควรติดตามหรือทำการตรวจเพิ่มเติม โดยแพทย์จะประเมินว่าจะเฝ้าดู นัดมาตรวจซ้ำ หรือส่องกล้องขยายปากมดลูกต่อไป โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่พบมะเร็ง และเซลล์เหล่านี้มักกลับสู่ปกติเมื่อร่างกายกำจัดเชื้อ HPV ได้

ห่างไกล HPV ด้วยวัคซีน ยิ่งฉีดไว ยิ่งได้ผลดี ผู้ชายก็ฉีดได้

วัคซีน HPV ช่วยป้องกันการติดเชื้อ HPV เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกและโรคหูด โดยกลุ่มอายุ 9-14 ปี ควรได้รับวัคซีน 2 เข็ม เนื่องจากเป็นช่วงที่ภูมิคุ้มกันตอบสนองได้ดีที่สุด และมักยังไม่เคยเพศสัมพันธ์ ส่วนในช่วงอายุ 15-46 ปี ยังสามารถฉีดได้ แต่ต้องฉีดครบ 3 เข็ม โดยประสิทธิภาพอาจลดลงเล็กน้อยหากเคยติดเชื้อมาก่อน "ผู้ชายก็สามารถฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันหูดและลดการแพร่เชื้อสู่ผู้หญิงได้ โดยปัจจุบันตัววัคซีนมีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงน้อย มักพบแค่เพียงอาการปวดบริเวณที่ฉีด ย้ำเตือนว่าผู้หญิงที่ฉีดวัคซีน HPV แล้วก็ควรตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากวัคซีนไม่สามารถกำจัดเชื้อ HPV ในร่างกายที่เคยติดมาก่อน และไม่ได้ครอบคลุมสายพันธุ์เสี่ยงทั้งหมด" นพ.กษิติ เที่ยงธรรม อธิบาย

ป้องกัน HPV เริ่มจากดูแลตัวเองให้ถูกวิธี

นอกจากการฉีดวัคซีน การปรับพฤติกรรมก็ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HPV และมะเร็งปากมดลูก เช่น การใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ ช่วยป้องกันเชื้อ HPV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน เนื่องจากยิ่งมีคู่นอนมาก หรือมีคู่นอนที่เคยมีคู่อื่นมาก่อน ความเสี่ยงในการติดเชื้อจะยิ่งสูงขึ้น รวมถึงเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงดูแลสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรง เพื่อให้ร่างกายกำจัดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

"เข้าใจว่าบางคนอาจกลัวหรือคิดว่าจะตรวจไปทำไมในเมื่อไม่มีอาการอะไร แต่จริง ๆ แล้วการตรวจคัดกรองไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ยิ่งเราหมั่นตรวจอย่างสม่ำเสมอก็ยิ่งช่วยปกป้องสุขภาพในระยะยาว เพราะหากพบเชื้อ HPV เร็ว ก็สามารถเฝ้าติดตามได้อย่างใกล้ชิดก่อนจะกลายเป็นหูดหรือมะเร็งที่อันตราย และเมื่อเสริมด้วยวัคซีน ก็จะยิ่งลดความเสี่ยงติดเชื้อ HPV ได้มากขึ้น" นพ.กษิติ เที่ยงธรรม กล่าวทิ้งท้าย

ผู้ที่สนใจปรึกษาแพทย์โรงพยาบาลวิมุต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและนัดหมายแพทย์ได้ที่ศูนย์สูตินรีเวช ชั้น 3 โรงพยาบาลวิมุต เวลาทำการ 08:00 - 20:00 น. โทร. 02-079-0066 หรือดาวน์โหลด ViMUT Application เพื่อนัดหมายแพทย์ หรือใช้บริการปรึกษาหมอออนไลน์

90% ของเชื้อ HPV ติดมาจากการมีเพศสัมพันธ์ แพทย์ รพ.วิมุต ย้ำ ตรวจเร็ว?ฉีดวัคซีนไว ก่อนเป็นมะเร็งปากมดลูก