สำหรับการเสวนาครั้งนี้ มุ่งเน้นประเด็นสำคัญในเรื่องการรับมือกับ Ransomware ที่พัฒนาเป็นรูปแบบ Multi-faceted Extortion การป้องกันภัยจาก Social Engineering และ Fraud ที่เน้นโจมตีลูกค้าโดยตรง รวมถึงการยกระดับความรู้ความเข้าใจของลูกค้าเกี่ยวกับเรื่อง Cybersecurity เพื่อเป็นแนวป้องกันเชิงรุก ตลอดจนได้มีการกล่าวถึงการพัฒนา Real-time KYC ด้วย AI และเทคโนโลยีอย่าง Behavioral Biometrics และ Device Intelligence เพื่อสร้างระบบตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติแบบต่อเนื่อง พร้อมทั้งหารือถึง Ecosystem Collaboration และแนวทางจัดการวิกฤตเมื่อเกิด Cyber Attack
ดร.นงนุช ตันติสันติวงศ์ กล่าวถึงการจัดการปัญหาการโจมตีทางไซเบอร์ไว้ว่า "การรับมือเชิงรุกเป็นการเตรียมพร้อม 24-7 และมีการกำหนดกลยุทธ์และวิธีการปฏิบัติที่ชัดเจนครอบคลุมตั้งแต่ก่อนใช้งานระบบจนกระทั่งเมื่อถูกโจมตี ได้แก่
- การทดสอบระบบ security ของระบบงานหรือแพลตฟอร์มก่อนใช้งานที่ครอบคลุมจุดเปราะบางหรือประเด็นความเสี่ยงต่างๆ อย่างครบถ้วน
- เมื่อออกใช้งานระบบแล้ว ก็ต้องมีการติดตามเฝ้าระวังและพัฒนาระบบป้องกันเพื่อให้ทันต่อรูปแบบหรือวิธีการโจมตีระบบ cybersecurity ใหม่ๆ ที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา
- การยกระดับความรู้ความเข้าใจและการระแวดระวังเกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะถูก cyber attack ต้องทำทั้งกับลูกค้าและพนักงานภายในขององค์กร
- เมื่อเกิดเหตุถูกโจมตี ไม่ว่าจะเป็นระบบภายในองค์กรเองหรือผ่านระบบของ third-party ที่องค์กรใช้งานอยู่ ต้องมีการสื่อสารกับพนักงานและลูกค้าที่มีประสิทธิภาพและลงมือแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว การมีคู่มือจัดการวิกฤตและจัดให้มีการทดสอบการจัดการวิกฤตจะช่วยลดเวลาการตอบสนองต่อเหตุการณ์และลดการสูญเสีย"
นอกจากนี้ ในการเสวนายังมีการแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับบทบาทของ CISO หรือ Chief Information Security Officer ที่ต้องเป็น Strategic Partner กับธุรกิจและสร้างแนวคิดด้านวัฒนธรรมองค์กรที่จำเป็นต่อการสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยในระยะยาว งาน Finance Thailand 2025 นี้จัดขึ้น ณ โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีองค์กรทั้งไทยและต่างประเทศเข้าร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี AI ในสถาบันการเงินและระบบการชำระเงิน