กทม. สั่งระงับกิจการโรงงานสารเคมี ซ.แสมดำ 17 หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้-รุดตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่

แพทย์หญิงภาวิณี รุ่งทนต์กิจ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย (สนอ.) กทม. กล่าวถึงความคืบหน้าติดตามผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานอุตสาหกรรมกำจัดสารเคมี ซอยแสมดำ 17 ว่า สนอ. ร่วมกับสำนักงานเขตบางขุนเทียน กรมโรงงานอุตสาหกรรม และกรมควบคุมมลพิษ ได้ลงพื้นที่ร่วมตรวจสอบเหตุเพลิงไหม้ศูนย์บริการกำจัดกากอุตสาหกรรมแสมดำ (GENCO) บริษัทบริหารและพัฒนา เพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จำกัด (มหาชน) พบว่า มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย ได้แก่ ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง. 4) เมื่อวันที่ 3 มี.ค. 38 ประเภท หรือชนิดโรงงานลำดับที่ 101 ประกอบกิจการปรับคุณภาพของเสียรวม คัดแยกวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว และวันที่ 9 ก.พ. 47 ประเภท หรือชนิดของโรงงานลำดับที่ 101 ประกอบกิจการปรับคุณภาพของเสียรวม และใบอนุญาตกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ (แบบ อภ.2) ปี 2549 ประเภทการประกอบกิจการห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ การสาธารณสุข วิทยาศาสตร์ หรือสิ่งแวดล้อม (ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์) กิจการลำดับที่ 9.17 พื้นที่ประกอบกิจการ 104,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) กำลังเครื่องจักร 862.20 แรงม้า และคนงาน 36 คน

Tuesday 16 September 2025 17:27
กทม. สั่งระงับกิจการโรงงานสารเคมี ซ.แสมดำ 17 หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้-รุดตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่

สำหรับจุดเกิดเหตุเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 1 ชั้น ซึ่งเป็นอาคารปรับสภาพเสถียร 2 ขนาดพื้นที่ 48 ตร.ม. ใช้สำหรับปรับสภาพเสถียรสารเคมีเสื่อมสภาพจากโรงงานอุตสาหกรรม โดยการผสมปูนขาว หรือปูนซีเมนต์ปรับสภาพเสถียรก่อนเข้าสู่กระบวนการบำบัดและกำจัด โดยหลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงฉีดน้ำเลี้ยงรอบอาคาร เพื่อป้องกันการลุกลาม เนื่องจากสารเคมีดังกล่าวไม่สามารถใช้น้ำดับเพลิงได้ เจ้าหน้าที่โรงงานจึงนำรถแบ็กโฮขนทรายมากลบสารเคมีเพื่อดับไฟ เบื้องต้นสันนิษฐานว่า สาเหตุเพลิงไหม้อาจเกิดจากการปะทุของสารเคมีที่อยู่ระหว่างการปรับสภาพ ซึ่งทำปฏิกิริยากัน โดยอาคารที่อยู่ด้านหลังอาคารปรับสภาพเสถียร 2 ซึ่งถูกเพลิงไหม้ เป็นอาคารเก็บสารเคมีเสื่อมสภาพที่รอเข้าสู่กระบวนการบำบัด เจ้าหน้าที่โรงงานได้นำปูนขาวมาปรับสภาพกากของเสียและจัดการความร้อนสะสม เพื่อป้องกันการปะทุซ้ำ อีกทั้งยังมีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงของสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (สปภ.) เฝ้าระวังการลุกไหม้ของสารเคมีอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ภายหลังเหตุเพลิงไหม้ฯ พบว่า มีน้ำท่วมขังในพื้นที่โรงงาน สาเหตุจากน้ำฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องและน้ำดับเพลิงที่เจ้าหน้าที่ใช้ฉีดเลี้ยง เพื่อป้องกันไม่ให้เพลิงลุกลามไปยังอาคารอื่น โดยโรงงานได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ เพื่อสูบน้ำที่ท่วมขังเข้าสู่บ่อเก็บน้ำภายในพื้นที่ จากนั้นจะนำเข้าสู่กระบวนการปรับสภาพและบำบัดน้ำเสียตามมาตรฐานก่อนปล่อยออกสู่ภายนอก เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วจะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบ

ส่วนการสำรวจสภาพแวดล้อมพบว่า โรงงานตั้งอยู่ห่างไกลบ้านเรือนประชาชน จึงไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพโดยตรง ซึ่งศูนย์บริการสาธารณสุข 42 ได้ลงพื้นที่สำรวจผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนที่พักอาศัยบริเวณใกล้เคียงกับจุดเกิดเหตุ โดยคัดกรองประชาชนจำนวน 30 คน พบผู้ที่มีอาการได้รับผลกระทบด้านสุขภาพ 2 ราย มีอาการระคายเคืองคอ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้ให้คำแนะนำ ข้อควรปฏิบัติ และแนวทางการติดตามอาการแก่ประชาชน เพื่อป้องกันผลกระทบทางสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีโรคประจำตัว รวมทั้งแจกหน้ากากอนามัย 150 ชิ้น และยาดมสมุนไพร รวมถึงประสานให้ผู้ที่มีอาการได้รับยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็น พร้อมประชาสัมพันธ์แนวทางการดูแลสุขภาพหลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ เพื่อสร้างความมั่นใจและอุ่นใจแก่ประชาชนในพื้นที่

นอกจากนี้ สนอ. ได้ร่วมกับสำนักงานเขตบางขุนเทียน กรมควบคุมมลพิษ และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมทั้งน้ำเสียและมลพิษทางอากาศ ภายในโรงงานและบริเวณชุมชนโดยรอบ พบว่าบริเวณจุดเกิดเหตุตรวจพบก๊าซฟอร์มัลดีไฮด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ และแอมโมเนียในระดับที่อาจส่งผลต่อสุขภาพ จึงแนะนำให้เจ้าหน้าที่โรงงานสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันสารเคมีขณะปฏิบัติงาน ขณะที่ผลการตรวจในพื้นที่ชุมชนบริเวณซอยแสมดำ 13 ซึ่งอยู่ด้านท้ายลม คุณภาพอากาศยังคงอยู่ในเกณฑ์ปกติ ด้านกรมโรงงานอุตสาหกรรมตรวจพบสารไฮโดรเจนคลอไรด์ในพื้นที่เกิดเหตุ จึงเสนอให้ออกคำสั่งตามมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้โรงงานหยุดประกอบกิจการปรับสภาพเสถียรชั่วคราว เพื่อซ่อมแซม ตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของอาคาร และเพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัยก่อนเปิดดำเนินกิจการต่อไป ส่วนกากของเสียและน้ำจากการดับเพลิงได้สั่งการให้โรงงานนำไปบำบัดเอง เนื่องจากโรงงานมีระบบบำบัดทางเคมีที่ยังสามารถใช้งานได้และไม่ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้

ขณะเดียวกัน สนอ. ได้เก็บตัวอย่างน้ำจากการดับเพลิงบริเวณลานหน้าอาคารจุดเกิดเหตุ เพื่อนำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการของสำนักการระบายน้ำ (สนน.) เบื้องต้นตรวจพบว่า มีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) อยู่ระหว่าง 2-3 หรือมีสภาพเป็นกรด จึงแนะนำให้บริษัทรวบรวมน้ำดังกล่าวเข้าสู่ระบบบำบัดน้ำเสียของโรงงานก่อนปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งตรวจสอบคุณภาพอากาศบริเวณหน้าอาคารปรับสภาพเสถียรที่ถูกเพลิงไหม้ โดยใช้เครื่องตรวจวัดก๊าซพิษ พบก๊าซแอมโมเนีย (NH3) 10 ppm และสารฟอร์มัลดีไฮด์ (HCHO) 2.48 ppm ซึ่งยังไม่เกินค่าขีดจำกัดตามประกาศกรมควบคุมมลพิษ อยู่ในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ ส่วนการตรวจวิเคราะห์ตะกอนดินด้วยเครื่องมือ XRF พบการปนเปื้อนของสารเคมีและโลหะหนักหลายชนิด ได้แก่ ทองแดง (Cu) สังกะสี (Zn) สารหนู (As) รูบิเดียม (Rb) สตรอนเชียม (Sr) เซอร์โคเนียม (Zr) และตะกั่ว (Pb) อีกทั้ง Genco ได้เก็บตัวอย่างน้ำเพิ่มเติมเพื่อตรวจวิเคราะห์โลหะหนักในน้ำ ได้แก่ ตะกั่ว (Pb) สังกะสี (Zn) แคดเมียม (Cd) โครเมียม (Cr) แมงกานีส (Mn) นิกเกิล (Ni) และทองแดง (Cu) เพื่อใช้ประกอบการติดตามและประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ สำนักงานเขตบางขุนเทียน ได้ออกคำสั่งตรวจแนะนำของเจ้าพนักงาน (แบบ นส. 1) ให้ Genco ระงับการประกอบกิจการในส่วนที่ได้รับความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ทันที พร้อมกำหนดให้จัดทำแผน การจัดการกากของเสียที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ดังกล่าวโดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน และเน้นย้ำให้โรงงานและสถานประกอบการในพื้นที่ปฏิบัติตามมาตรการด้านความปลอดภัยและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการเกิดเหตุซ้ำ รวมถึงเตรียมความพร้อมด้านการป้องกันและระงับอุบัติภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตรายในพื้นที่โรงงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยต่อประชาชนในพื้นที่โดยรอบ

ที่ผ่านมา สนอ. ได้สำรวจและตรวจประเมินสถานประกอบกิจการที่มีการจัดเก็บ การผลิต การสะสม การขนส่ง และการใช้สารเคมีและวัตถุอันตรายมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2565 จนถึงปัจจุบัน โดยใช้รูปแบบการบูรณาการทีมตรวจร่วมระหว่างหลายหน่วยงาน ประกอบด้วย สนอ. สำนักงานเขต สปภ. กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และกรมธุรกิจพลังงาน สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สนอ. ได้กำหนดแผนตรวจสอบสถานประกอบกิจการที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีและวัตถุอันตรายในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยมุ่งเน้นการกำกับดูแลและควบคุมให้สถานประกอบการมีการบริหารจัดการความเสี่ยงภัยด้านสารเคมีและวัตถุอันตรายอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการและสอดคล้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงภัยที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน ซึ่งแผนดังกล่าวครอบคลุมถึงการสร้างเครือข่ายการทำงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถตอบสนองและรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเกิดอุบัติภัยจากสารเคมี หรือวัตถุอันตรายในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อยกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยและสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน