รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวต่อว่า ส่วนประเทศไทยนั้นก็ติดกับดักรายได้ระดับปานกลางตั้งแต่ปี 2531 และขยับสูงขึ้นมาอยู่ในกลุ่มบนของกลุ่มประเทศระดับรายได้ปานกลางตั้งแต่ปี 2553 มีส่วนแบ่งในตลาดโลกสูงขึ้นและสร้างรายได้เงินตราต่างประเทศในระดับสูง อาทิ กลุ่มยานยนตร์ อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมอาหาร สินค้าเกษตร การท่องเที่ยวและการบริการด้านสุขภาพ ปัญหาความยากจนลดลงจากร้อยละ 20.0 ในปี 2550 เป็นร้อยละ 10.9 ในปี 2556 ประชากรมีโอกาสเข้าถึง บริการด้านสาธารณสุข การศึกษา และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ อย่างไรก็ตาม ต่อมา เศรษฐกิจถดถอยลงและมีอัตราการขยายตัวในระดับต่ำมาตลอดหลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2557 และ หลังวิกฤติเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 ในช่วงปี พ.ศ. 2563 เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างอ่อนแอโดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานราก นอกจากนี้ ประเทศไทยก็ยังมีจุดอ่อนในเชิงโครงสร้างหลายด้านทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ได้แก่ โครงสร้างสังคมผู้สูงวัย แต่คุณภาพคนโดยเฉลี่ยยังต่ำและการออมไม่เพียงพอ ขาดแคลนแรงงานทั้งในกลุ่มทักษะฝีมือสูงและฝีมือระดับล่าง ทั้งระบบเศรษฐกิจมีผลิตภาพการผลิตรวมต่ำ ต้องอาศัยการเพิ่มปริมาณแรงงานเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และมีสัดส่วนภาคการค้าระหว่างประเทศต่อขนาดเศรษฐกิจสูงกว่าเศรษฐกิจภายในประเทศมาก จึงมีการผันผวนตามปัจจัยภายนอกเป็นสำคัญ ฐานการผลิตเกษตรและบริการต่ำโดยที่องค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อการเพิ่มมูลค่ายังมีน้อย การลงทุนเพื่อการวิจัยไม่เพียงพอ การพัฒนาด้านนวัตกรรมมีน้อย สำหรับการดำเนินและการบริหารจัดการภาครัฐก็ยังขาดการบูรณาการจึงสิ้นเปลืองงบประมาณ ยังมีปัญหาการคอร์รัปชันเป็นวงกว้าง ขาดความโปร่งใส และมีประสิทธิภาพต่ำ โครงสร้างพื้นฐานต่างๆไม่สมบูรณ์และล่าช้า การบังคับใช้กฎหมายยังขาดประสิทธิผลและกฎระเบียบต่างๆล้าสมัยไม่ทันการเปลี่ยนแปลง ปัญหาด้านการไม่เคารพสิทธิผู้อื่นและไม่ยึดผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ อีกทั้งปัญหาความเหลื่อมล้ำและความแตกแยกในสังคมไทยยังเป็นปัญหาที่ท้าทายมาก
รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวต่อว่า ล่าสุด กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ประเมินว่า ขนาดเศรษฐกิจของประเทศไทยจะร่วงหล่นไปอยู่อันดับ 5 ของอาเซียนโดยถูก ฟิลิปปินส์ และ เวียดนาม แซงหน้า ในอีก 5 ปีข้างหน้า (ค.ศ. 2030) โดยขนาดเศรษฐกิจจะอยู่ที่ 654 พันล้านดอลลาร์ ใน ปี ค.ศ. 2030 จาก 558 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ อันดับที่ร่วงหล่นลงจะเป็นผลจากจีดีพีของไทยโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนอย่างต่อเนื่องในอนาคต และ จะมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยไม่เกิน 2% หากไม่ต้องการให้ ขนาดเศรษฐกิจ "ประเทศไทย" ร่วงหล่นมาอยู่ในอันดับ 5 ของอาเซียน เราจำเป็นต้องทำให้อัตราการขยายตัวโดยเฉลี่ยของไทยอยู่ในระดับ 4-5% เป็นอย่างน้อย การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจต้องมุ่งไปที่การสร้างฐานรายได้ใหม่ของประเทศ ทำให้เกิดอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ อุตสาหกรรม New S-Curve ยกระดับธุรกิจอุตสาหกรรมเดิมให้แข่งขันได้ดีขึ้นพร้อมกับพัฒนาแปรรูปสินค้าให้มีมูลค่าสูงขึ้น มุ่งเน้นการลงทุนในการสร้างนวัตกรรมและทุนมนุษย์ เพิ่มสัดส่วนการลงทุนเทียบกับจีดีพีให้ขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงกว่า 30%-40% การเปิดกว้างในการดึงดูดการลงทุนของต่างชาติต้องมาพร้อมกับเป้าหมายอันชัดเจนที่ทำให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างเป็นระบบและสามารถบูรณาการกับอุตสาหกรรมภายในเพื่อเสริมความแข็งแกร่งได้ดียิ่งขึ้น
มีการวางยุทธศาสตร์และแผนระยะยาวเพื่อให้บรรลุเป้าหมายสู่ประเทศพัฒนาแล้ว ไม่ใช่เป้าหมายตามวาระการดำรงอยู่ของรัฐบาล พัฒนาตลาดทุนเป็นกลไกในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ เป็นกลไกสำคัญในการปรับเปลี่ยนระบบการเงินของประเทศจากระบบ Bank-based Financial System มาเป็นระบบ Market-based Financial System มากขึ้น เพื่อให้เกิดความสมดุล ความมั่นคงและเสถียรภาพของระบบการเงินของประเทศมากขึ้น ทำตลาดทุนให้เป็นเรื่องเข้าถึงได้ง่ายโดยกิจการเอสเอ็มอีและประชาชน มีการยกระดับมาตรฐานเพื่อธุรกิจอุตสาหกรรมและร่วมสร้างโอกาสเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัด