กสิกรไทยประกาศเตรียมซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 47.39 ล้านหุ้น วงเงินไม่เกิน 8,800 ล้านบาท เพื่อบริหารทางการเงิน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเงินกองทุน

กสิกรไทยประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงินในวงเงินไม่เกิน 8,800 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 47.39 ล้านหุ้น โดยจะซื้อหุ้นผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงระหว่างวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2569 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเงินกองทุน ชี้ธนาคารมีเงินกองทุนแข็งแกร่ง เพียงพอรองรับการดำเนินธุรกิจในอนาคต

Thursday 30 October 2025 14:45
กสิกรไทยประกาศเตรียมซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 47.39 ล้านหุ้น วงเงินไม่เกิน 8,800 ล้านบาท เพื่อบริหารทางการเงิน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเงินกองทุน

นายจงรัก รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการธนาคารได้มีมติอนุมัติให้ธนาคารดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงินของธนาคาร ภายใต้วงเงินรวมไม่เกิน 8,800 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 47,386,552 หุ้น หรือไม่เกิน 2% ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมดของธนาคาร โดยวิธีการซื้อด้วยวิธีจับคู่อัตโนมัติผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงระหว่างวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2569 และราคาเสนอซื้อจะไม่เกินราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนวันซื้อหุ้นคืน บวกด้วยจำนวน 15% ของราคาปิดเฉลี่ย โดยเงินที่ใช้ซื้อหุ้นคืนจะเป็นเงินสดจากสภาพคล่องภายในของธนาคาร

การซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเงินกองทุน โดยธนาคารได้คำนึงถึงความเพียงพอของเงินกองทุน สภาพคล่องส่วนเกินและผลตอบแทนที่เหมาะสมแก่ผู้ถือหุ้นของธนาคาร เนื่องจากในปัจจุบันธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงในระดับที่แข็งแกร่ง เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคตทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤต โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 21.60% ธนาคารได้พิจารณาทางเลือกในการบริหารจัดการเงินกองทุนโดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงภาวะตลาด ผลการดำเนินงาน และระดับเงินกองทุน ซึ่งธนาคารเห็นว่าการซื้อหุ้นคืนเป็นหนึ่งในทางเลือกที่เหมาะสมในสภาวะการณ์ปัจจุบัน ที่จะช่วยให้ธนาคารสามารถบริหารจัดการเงินกองทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น รวมทั้งจะทำให้ธนาคารมีมูลค่าทางบัญชีของส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงและมีจำนวนหุ้นของธนาคารลดลง ซึ่งจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) สูงขึ้น อันจะทำให้ราคาหุ้นสะท้อนมูลค่าหุ้นที่แท้จริงได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้ถือหุ้น

นายจงรักกล่าวย้ำว่า ธนาคารยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบ และมุ่งมั่นสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ตอกย้ำการเป็นธนาคารที่ได้รับความไว้วางใจเสมอมา เดินหน้าตามยุทธศาสตร์ 3+1 และการจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Productivity) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงิน เพื่อสร้างคุณค่าและผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว