นางอรมน กล่าวว่า สินค้า GI ไทยรายการล่าสุดที่กรมประกาศรับขึ้นทะเบียน คือ ทุเรียนชุมพร ซึ่งเป็นทุเรียนพันธุ์หมอนทองที่มีลักษณะผลกลมรี ร่องพูหนามชัดเจน เปลือกบาง เนื้อหนาเนียนละเอียดสีเหลืองอ่อน มีเส้นใยเหนียวนุ่ม รสชาติหวานมัน กลิ่นหอมไม่ฉุน เม็ดเล็กและลีบ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นที่แตกต่างจากทุเรียนพันธุ์เดียวกันในพื้นที่อื่น โดยจังหวัดชุมพรถือเป็นแหล่งปลูกทุเรียนที่สำคัญของประเทศ มีการปลูกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2480 และขยายพื้นที่ปลูกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีดินที่อุดมสมบูรณ์และสภาพอากาศที่เหมาะสมจากอิทธิพลลมทะเลและมรสุม ทำให้ทุเรียนชุมพรมีรสชาติและคุณภาพโดดเด่นเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการปลูกทุเรียนชุมพรกว่า 1,449 ราย มีปริมาณผลผลิตกว่า 222,000 ตันต่อปี ที่จังหวัดจึงมีการจัดงานประจำปี "วันทุเรียนชุมพร" เพื่อส่งเสริมการตลาดและสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคภายในประเทศ รวมทั้งส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศสำคัญ เช่น จีน เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา ทำรายได้สู่จังหวัดรวมกว่า 31,851 ล้านบาทต่อปี
การขึ้นทะเบียน "ทุเรียนชุมพร" สะท้อนถึงความสำเร็จของการพัฒนาและคุ้มครอง GI ของไทย ซึ่งกรมมุ่งมั่นทำหน้าที่ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาประเภท GI เพื่อยกระดับเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทั้งในด้านการขึ้นทะเบียน คุ้มครองสิทธิ และการส่งเสริมสินค้าท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล กรมไม่เพียงคุ้มครองชื่อเสียงของสินค้าเท่านั้น แต่ยังเดินหน้าผลักดันให้มีการจัดทำระบบควบคุมคุณภาพและการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) เพื่อให้สินค้า GI ได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับของตลาดโลก พร้อมส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ การต่อยอดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการขยายช่องทางจำหน่ายในประเทศและต่างประเทศต่อไป
ทั้งนี้ ทุเรียนชุมพร เป็นสินค้า GI ลำดับที่ 6 ของจังหวัดชุมพร ต่อจาก ข้าวเหลืองปะทิวชุมพร กล้วยเล็บมือนางชุมพร กาแฟเขาทะลุ กาแฟถ้ำสิงห์ชุมพร และกล้วยหอมทองละแม ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียน GI ไปก่อนหน้านี้ โดยในปี 2568 (มกราคม - กันยายน) สินค้าทั้ง 5 รายการ สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 177 ล้านบาท ซึ่งกรมทรัพย์สินทางปัญญายังคงเดินหน้าผลักดันสินค้า GI ไทยให้ได้รับการขึ้นทะเบียนและคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ "ภูมิปัญญาท้องถิ่น" สามารถสร้าง "มูลค่าเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน" และเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน นางอรมน กล่าวทิ้งท้าย ------------------------------------------
 
                        