การเปิดทางครั้งนี้ถือเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญของธุรกิจการให้กู้ยืมเงินระหว่างบุคคลผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในประเทศไทย (P2P Lending) ที่ช่วยเพิ่มทางเลือกทางการเงินให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่บริหารจัดการพอร์ตได้อย่างยืดหยุ่น โดยไม่จำเป็นต้องขายหุ้นออกเพื่อสร้างสภาพคล่อง พร้อมคงสิทธิความเป็นเจ้าของและผลตอบแทนจากเงินปันผลตามเดิม
นายจิรายุ เชื้อแย้ม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนสท์ติฟลาย จำกัด กล่าวว่า "การปรับเกณฑ์จาก ธปท. ครั้งนี้ เป็นสัญญาณเชิงบวกที่สะท้อนถึงการเติบโตของธุรกิจ P2P Lending ในไทย ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่สามารถใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดมูลค่ามากขึ้น ขณะเดียวกันยังแสดงถึงความพร้อมของตลาดไทยในการก้าวสู่ระบบสินเชื่อหุ้นที่มีมาตรฐาน โปร่งใส และสร้างเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น"
"ในฐานะผู้ให้บริการภายใต้การกำกับของ ธปท. NestiFly ให้ความสำคัญกับการพัฒนากรอบกำกับดูแลที่รัดกุม เพื่อให้ทุกฝ่ายทั้งผู้กู้ ผู้ให้กู้ และนักลงทุนได้รับประโยชน์ร่วมกันอย่างมั่นคง และช่วยรักษาเสถียรภาพของตลาดทุนในระยะยาว" นายจิรายุ กล่าวเสริม
ภายใต้เกณฑ์ที่ได้รับการอนุมัติ ผู้ถือหุ้นสามารถนำหุ้นที่ถืออยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันสินเชื่อได้
ทั้งนี้ NestiFly ได้เตรียมแนวทางบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ ได้แก่
- คงเพดานจำกัดการขอสินเชื่อ (Credit Ceiling) เพื่อควบคุมความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของหลักประกันและลดผลกระทบต่อหุ้นรายตัวในตลาดหลักทรัพย์
- ใช้อัตราส่วน LTV สูงสุด 60% (MAX60) สำหรับหุ้นคุณภาพสูงที่ผ่านการคัดกรอง เพื่อสร้างกันชนต่อความผันผวนของราคาหุ้น
- ปฏิบัติตามมาตรฐานของ ธปท. ครอบคลุมมาตรการป้องกันความเสี่ยงและสัญญากู้ยืม เพื่อคุ้มครองผู้ให้กู้และผู้กู้ในทุกกรณี
ทั้งหมดนี้เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริหารความเสี่ยงและรักษาเสถียรภาพของตลาดทุนโดยรวม
ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม หรือดูรายชื่อหุ้นที่สามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันได้ที่ www.nestifly.com