ทั้งนี้ ข้อมูลจาก IDF ระบุว่า ผู้ใหญ่ 7 ใน 10 คนที่เป็นโรคเบาหวานทั่วโลกอยู่ในวัยทำงาน นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคเบาหวานเกือบครึ่งหนึ่งยังไม่ได้รับการวินิจฉัย และจากการสำรวจพบว่า 3 ใน 4 คนมีปัญหาความเครียดหรือภาวะซึมเศร้า และ 4 ใน 5 คนภาวะหมดไฟจากโรคเบาหวาน รวมถึงการถูกตีตรา การเลือกปฏิบัติ และการกีดกัน ซึ่งส่งผลกระทบด้านลบต่อความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขา สถานที่ทำงานหลายแห่งมีสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อสุขภาพของพนักงาน การขาดโอกาสเข้าถึงกิจกรรมทางกาย การเลือกรับประทานที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของการสนับสนุนสุขภาวะทั้งกายและใจของผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือผู้ที่เสี่ยงโรคเบาหวานในสถานที่ทำงาน (ที่มา: สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ)
เบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอหรือร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้อวัยวะเสื่อมสมรรถภาพ และทำงานล้มเหลว เป็นเหตุให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ตา ไต หลอดเลือดหัวใจ และหลอดเลือดสมอง รวมถึงเป็นแผลง่ายหายยาก ชาปลายมือปลายเท้า
นายแพทย์เฉลิมพล โอสถพรมมา ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 จังหวัดสงขลา กล่าวว่า โรคเบาหวานสามารถป้องกันได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ สคร.12 สงขลา ขอแนะนำการป้องกันโรคเบาหวาน ดังนี้ 1.รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ เลี่ยงรสหวาน มัน เค็ม 2.ไม่สูบบุหรี่และไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 3.มีกิจกรรมทางกายและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 4.ผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง 5.ควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม และ 6.หากมีอาการของโรคเบาหวาน เช่น ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ หิวบ่อย กินจุ น้ำหนักลด เป็นแผลง่ายหายยาก หรือชาปลายมือปลายเท้า ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาต่อไป นอกจากนี้ ถ้ามีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน ควรดูแลใส่ใจเรื่องการควบคุมอาหาร การรับประทานยา การเข้ารับการตรวจตามนัด และสังเกตอาการป่วยที่อาจผิดปกติ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการดูแลป้องกันตนเองจากโรคเบาหวาน สามารถโทรสอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422