แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในเดือนธันวาคม โดยมีค่าสูงสุดถึง 108.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศ์เมตร เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ที่จังหวัดหนองคาย ซึ่งอยู่ในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และมีอีกหลายพื้นที่ในภาคกลาง กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล และภาคอีสานที่มีค่าเกินมาตรฐาน (มากกว่า 37.5 ?g/m?) และเป็นสัญญาณว่าอากาศเริ่มเข้าสู่ระดับที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตาม ในช่วงวันหยุดนี้ สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 บางพื้นที่เริ่มดีขึ้น แต่คาดการณ์ว่า ในช่วงวันที่ 6 - 12 ธันวาคม 2568 ฝุ่น PM2.5 จะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากสภาพอากาศนิ่ง ความเร็วลมต่ำ ทำให้ฝุ่นละอองไม่สามารถกระจายได้ดี เกิดการสะสมและมีโอกาสฝุ่นหนาแน่นยิ่งขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อสุขภาพ ทั้งการระคายเคืองตา แสบตา ตาแดง คัน และผู้มีที่โรคประจำตัวอาจทำให้มีอาการหายใจลำบาก เช่น หอบหืด หรือโรคปอดเรื้อรัง
"กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จึงขอแนะนำให้ประชาชนดูแลสุขภาพตนเอง เพื่อป้องกันฝุ่นที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ 1) ติดตามค่าคุณภาพอากาศทุกวันผ่านแอปพลิเคชั่น หรือเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐ เช่น Air4Thai หรือ Life Dee หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงที่ค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน 2) สวมหน้ากากที่ป้องกันฝุ่น เช่น หน้ากากอนามัย สำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องทำงานกลางแจ้ง และสัมผัสฝุ่นเป็นเวลานาน เช่น หน้ากาก N95 หรือ KN95 แต่ไม่ควรใส่ต่อเนื่องยาวนานเกินไปโดยไม่ถอดพักแนะนำให้หาที่ปลอดภัย ถอดหน้ากากเพื่อพักหายใจเป็นระยะ 3) ดูแลความสะอาดภายในบ้าน ปิดประตู-หน้าต่างในช่วงค่าฝุ่นสูง ใช้เครื่องฟอกอากาศที่มี HEPA filter (ถ้ามี) ทำความสะอาดบ้านด้วยผ้าชุบน้ำแทนการกวาด 4) ระวังกลุ่มเสี่ยง เป็นพิเศษ ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้มีโรคประจำตัวทางเดินหายใจ และโรคหัวใจ ให้สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไอ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หากอาการรุนแรงควรพบแพทย์ทันที 5) ลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่น งดเผาในที่โล่ง ลดการใช้รถยนต์ที่เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ เพื่อช่วยกันลดมลพิษจากต้นทางเพื่อชะลอวิกฤติฝุ่น PM 2.5" อธิบดีกรมอนามัย กล่าว