จากเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลก ในปี 2562 แสนสิริ จึงได้เข้าร่วมเป็น Strategic Partner กับ ชาร์จ แมเนจเม้นท์ (SHARGE) ผู้นำด้านการสร้าง EV Charging Ecosystem เพื่อขยายโซลูชั่นในการอำนวยความสะดวกลูกบ้านแสนสิริในการใช้รถพลังงานไฟฟ้าและการเข้าถึงสถานีชาร์จ ด้วยการติดตั้ง EV Charging Station ในโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริ นำร่องโครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 95 หัวชาร์จ (50 เครื่อง) ใน 28 โครงการ ความร่วมมือดังกล่าวก่อให้เกิดการรับรู้ต่อผู้อยู่อาศัยถึงการสร้างระบบนิเวศน์ที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นจากหน่วยเล็กๆ ของสังคมนั่นคือที่อยู่อาศัย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ถือว่าตอบโจทย์แนวคิดของคน รุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
สำหรับความร่วมมือในก้าวต่อไประหว่างแสนสิริและ SHARGE เพื่อสานต่อนโยบาย Sansiri Sustainability Mission ในการร่วมสร้างปรากฎการณ์แห่งอนาคต เพื่อสร้างเทรนด์ที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ที่นำไปสู่การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน ได้กำหนดเป็นโรดแมป 3 ปี (2565-2567) โดยกำหนดเป้าหมายขยายการติดตั้ง EV Charging Station ให้ครอบคลุมโครงการแนวสูงที่เปิดใหม่ และโครงการแนวราบในระดับเซ็กเมนต์ B ขึ้นไปทุกโครงการ ภายใต้งบลงทุน 65 ล้านบาท หรือการติดตั้งเครื่องชาร์จ EV ราว 1,500 เครื่อง ภายใน 3 ปี
โดยโครงการบ้านเดี่ยวในเซ็กเมนต์ B ขึ้นไป จะได้รับพริวิลเลจพิเศษ เป็นเครื่องชาร์จ ABB Terra AC Wallbox (Normal Charge) นำเข้าโดย SHARGE ที่สามารถชาร์จได้เร็วถึง 4-8 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับขนาดรถ) ซึ่งการสร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับที่อยู่อาศัยในครั้งนี้สอดคล้องกับการสำรวจพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่และผู้อยู่อาศัยแสนสิริในเซกเมนต์ B ขึ้นไป ที่พบว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จเร็ว (Young Success) และมีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวีตแบบยั่งยืน คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม บางส่วนเป็นเจ้าของรถ EV หรือกำลังมองหารถ EV เพื่อใช้ในอนาคต ทั้งนี้ผลสำรวจของแสนสิริสอดคล้องกับข้อมูลจากศูนย์วิจัยความเป็นอยู่ ฮาคูโฮโด อาเซียน ที่ระบุว่าจากการสำรวจคนรุ่นใหม่ในประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น พบว่า 86% ให้ความใส่ใจสังคม-สิ่งแวดล้อมมาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างจริงจัง 80% ให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่ใส่ใจสังคม-สิ่งแวดล้อม และ 81% ระบุว่า เต็มใจจ่ายแพงขึ้น เพื่อให้ได้สินค้าสำหรับวิถีชีวิตที่ใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงระหว่าง แสนสิริ และ SHARGE จึงเป็นการสร้างปรากฎการณ์ใหม่แห่งอนาคตที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน
นายพีระภัทร ศิริจันทโรภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) ผู้นำด้านการสร้าง EV Charging Ecosystem เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน (Mr.Peerapatr Sirichantaropart, Managing Director, Sharge Management Company Limited) เปิดเผยว่า จุดแข็งที่สำคัญของ SHARGE คือการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งจากหลากหลายอุตสาหกรรม และการได้เข้าร่วมเป็น Strategic Partner กับแสนสิริ ที่เล็งเห็นเทรนด์การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ EV ตลอดจนไลฟ์สไตล์ของลูกบ้านที่ต้องการชาร์จรถที่บ้าน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับโรดแมปของประเทศที่ภาครัฐให้การสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ EV เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนหันมาเปลี่ยนแปลงการใช้ EV มากขึ้น แสนสิริจึงได้ร่วมกับ SHARGE ในการออกแบบและขยายโซลูชั่นรองรับการใช้รถ EV และการเข้าถึงสถานีชาร์จ เพื่อมอบบริการที่ดีที่สุดแก่ลูกบ้านแสนสิริ และนำมาสู่ความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง SHARGE กับแสนสิริอีกครั้ง ด้วยการเซ็ตเทรนด์ที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ ในการติดตั้งเครื่องชาร์จ EV ในที่อยู่อาศัย ที่จะเติบโตไปตามเทรนด์ของโลกที่ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ความร่วมมือครั้งนี้ยังสอดคล้องกับโรดแมป 5 ปี ของ SHARGE ที่ตั้งเป้าหมายดำเนินผ่านกลยุทธ์ 'LIFESTYLE CHARGING ECOSYSTEM: NIGHT, DAY, ON-THE-GO' เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์และอำนวยคามสะดวกในการใช้ชีวิตของลูกค้าอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการใช้รถพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย โดยร่วมมือกับภาคอสังหาริมทรัพย์ (ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยและศูนย์การค้า) ผู้ประกอบการรถยนต์ และธุรกิจพลังงาน สร้างระบบนิเวศที่เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมของผู้บริโภค 3 กลุ่ม ประกอบด้วย
- NIGHT: กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่บ้าน ซึ่งกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนสูงสุดหรือคิดเป็น 80% ของผู้ใช้รถ EV ทั้งหมด เพราะจากการศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้งานรถ EV ในสหรัฐ จีน และยุโรป พบว่า ส่วนใหญ่จะนิยมชาร์จที่บ้านในเวลากลางคืน เพราะสะดวกและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ประจำวันที่คนส่วนใหญ่จะจอดรถไว้บ้านในเวลากลางคืน รวมถึงการชาร์จตามบ้านมีต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ถูกกว่า
- DAY: กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่จุดหมายปลายทาง เช่น การชาร์จตามศูนย์การค้า แหล่งไลฟ์สไตล์ต่างๆ สถานศึกษา และอาคารสำนักงาน โดยกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 15%
- ON THE GO: กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่ต้องการชาร์จตามสถานีชาร์จระหว่างการเดินทางข้ามจังหวัด หรือการท่องเที่ยว ซึ่งกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนน้อยที่สุดคือ 5% ของจำนวนผู้บริโภคทั้งหมด
"SHARGE ได้ทำงานร่วมกับแสนสิริ ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ Infrastructure ของ EV Charging Station ในแต่ละโครงการเปิดใหม่ของแสนสิริทั้งแนวราบและแนวสูง เพื่อวิเคราะห์รูปแบบของการให้บริการและติดตั้งแท่นชาร์จให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกบ้าน อีกทั้ง ได้ร่วมกันพัฒนาอำนวยความสะดวกแก่ลูกบ้านผู้ใช้รถ EV ในการเพิ่มฟีเจอร์การจอง EV Charging Station บน Sansiri Home Service Application ซึ่งเป็นการนำเอาบริการจากแอปพลิเคชั่นของ SHARGE ที่มีไว้สำหรับค้นหาและจองสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าทั้งของ SHARGE และเครือข่ายพันธมิตรในแหล่งไลฟ์สไตล์ทั่วกรุงเทพฯ อีกทั้งยังสามารถจ่ายค่าไฟฟ้าผ่านแอปพลิเคชั่น มาเพิ่มเป็นพีเจอร์บนแอปพลิเคชั่นที่แสนสิริมีไว้สื่อสารระหว่างโครงการและลูกบ้านแสนสิริ ยกระดับความสะดวกของลูกบ้านในการเดินทางด้วยรถ EV ในแหล่งไลฟ์สไตล์ชั้นนำ นอกจากนี้ สำหรับโครงการของแสนสิริที่เปิดก่อนหน้านี้ หากมีความประสงค์ที่จะติดตั้ง EV Charging Station ทาง SHARGE ยินดีที่จะให้คำแนะนำและประเมินความเหมาะสมให้แต่ละโครงการโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ" นายพีระภัทร กล่าว
ความร่วมมือในครั้งนี้แสนสิริและ SHARGE ไม่ได้หวังเพียงแค่การเติบโตและความสำเร็จทางธุรกิจเท่านั้น แต่ต้องการสร้างโมเดลในการปฏิรูปวงการที่อยู่อาศัยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง และเป็นการสนับสนุนให้การใช้รถ EV ในประเทศไทยเติบโตได้จริงในระยะเวลารวดเร็ว เพราะปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลให้คนส่วนใหญ่ตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้รถ EV หรือไม่นั้น การเข้าถึงหัวชาร์จ เป็นหัวใจสำคัญ หากภาคอสังหาริมทรัพย์เข้ามาร่วมสนับสนุนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ เชื่อว่าจะทำให้ผู้ใช้รถตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้ EV ได้ง่ายขึ้น และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสิ่งแวดล้อมที่เร็วขึ้น
ที่มา: ชาร์จ แมเนจเม้นท์