นายสมชาย สิริปัญญานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการแบบครบวงจรในการประกอบผลิตภัณฑ์ประเภทวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิคส์สำเร็จรูป ให้แก่ลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Original Equipment Manufacturer: OEM) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2564 (กรกฎาคม-กันยายน) บริษัทฯ ประสบความสำเร็จมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีกำไรสุทธิ 521 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 108.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 214.7% หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ ซึ่งมีปัจจัยความสำเร็จมาจากการบริหารจัดการด้านต้นทุนและซัพพลายเชนในการจัดซื้อวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพ แม้ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากการขาดแคลนวัตถุดิบและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงบริษัทฯ ยังสามารถเจรจาปรับราคาสินค้ากับคู่ค้าได้ ทำให้อัตราการทำกำไรในไตรมาสนี้ปรับตัวขึ้นเป็น 11.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ 4.3% และยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทฯ ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 4-5%
ขณะที่รายได้รวมในไตรมาสนี้ยังอยู่ในทิศทางเดียวกัน โดยทำได้ 4,411 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและสูงขึ้น 15.2% หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นผลมาจากกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในการรุกขยายผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ในกลุ่มอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมและระบบเครือข่ายไร้สายสำหรับการสื่อสาร เช่น อุปกรณ์ที่ใช้ส่งสัญญาณความเร็วสูงสำหรับ 5G หรือ Optical transceiver กล้องวงจรปิดที่รองรับเทคโนโลยีAI และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ยานยนต์อัจฉริยะและขนส่งสาธารณะ หลังจากตลาดยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียนปรับตัวดีขึ้น
สำหรับความสำเร็จในด้านผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/64 ดังกล่าว ยังส่งผลดีต่อกำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน) ที่ปรับตัวสูงขึ้น 42.56% หรือทำได้ 834 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการทำกำไรสุทธิ 7.1% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 5.1% โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 11,705 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
"เราประสบความสำเร็จในการผลักดันการเติบโตของผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/64 ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งเป็นความสำเร็จในเชิงการบริหารจัดการด้านซัพพลายเชนและการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพในช่วงที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ประสบกับการขาดแคลนวัตถุดิบ รวมถึงมีความยืดหยุ่นในการปรับราคาสินค้ากับคู่ค้า พร้อมใช้ความสามารถด้านการผลิตที่ดีเพื่อตอบสนองยุทธศาสตร์ของ SVI ที่มุ่งผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์เพื่อป้อนให้แก่อุตสาหกรรมที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลกอย่าง 5G หรือยานยนต์อัจฉริยะได้เป็นอย่างดี" นายสมชาย กล่าว
กรรมการผู้จัดการ SVI กล่าวว่า ภาพรวมการดำเนินงานในปีนี้ มั่นใจว่ารายได้จากสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐ จะเติบโตได้ตามเป้าหมาย 10% โดยบริษัทฯ มุ่งให้ความสำคัญกับการจัดการวัตถุดิบด้านซัพพลายเชน คาดหลังซื้อกิจการ โทโฮกุ ไพโอเนียร์ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการผลิตอุปกรณ์สำหรับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ จะทำให้ SVI มีความมั่นคงด้านวัตถุดิบและบริหารจัดการต้นทุนการผลิตได้ดี เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และช่วยส่งเสริมการดำเนินงานในปีนี้ให้เติบโตได้ตามแผน
ที่มา: เอ็ม ที มัลติมีเดีย