นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr.Komsorn Prakobphol, Head of Economic Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit : TISCO ESU) เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นท่ามกลางสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังยืดเยื้อและไม่มีท่าทีที่จะสงบลง ประกอบกับผลกระทบจากการ Lockdown เพื่อควบคุมผู้ติดเชื้อโควิดในจีน ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ โดยล่าสุดตลาดซื้อขายล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสะท้อนว่า Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยไปจนถึง 3% ณ สิ้นปีนี้ และขึ้นต่อเนื่องไปหยุดที่ 3.5% กลางปีหน้า ซึ่งหากเป็นไปตามที่ตลาดคาด วัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้จะเป็นรอบที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 30 ปี และเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจฉุดเศรษฐกิจโลกให้ชะลอตัวอย่างรุนแรงจนเข้าสู่ภาวะถดถอย
"จากการศึกษาวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในอดีตตั้งแต่ปี 2508 ซึ่งมีทั้งหมด 11 รอบ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้พบว่ามีถึง 8 ครั้งที่การขึ้นดอกเบี้ยนำไปสู่ภาวะถดถอย และมีเพียง 3 ครั้งเท่านั้นที่ Fed สามารถควบคุมเงินเฟ้อได้สำเร็จโดยไม่ทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยใน 3 ครั้งดังกล่าว ซึ่งได้แก่ในปี 2508 ปี2526 และปี2536 เป็นการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ (สูงสุดในช่วงการขึ้นดอกเบี้ยอยู่ในระดับไม่เกิน 4%) ซึ่งทำให้ Fed ไม่จำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย จึงทำให้เศรษฐกิจยังสามารถขยายตัวต่อไปได้ แต่ในครั้งนี้อัตราเงินเฟ้อได้พุ่งขึ้นไปสูงถึงระดับ 8% ซึ่งทำให้ Fed จำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเร็ว จึงทำให้ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยเพิ่มมากขึ้น" นายคมศรกล่าว
ในด้านผลกระทบต่อตลาดหุ้น ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้พบว่า ตลาดหุ้นมักตอบรับในเชิงลบในรอบที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว เช่นในปี 2511 ปี2516 ปี2523 และ ปี2527 ที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 200 bps ในช่วง 6 เดือน และทำให้ดัชนี S&P 500 เคลื่อนไหวในแดนลบตลอดช่วงการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนกับในวัฏจักรที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยช้า ซึ่งตลาดปรับฐานเพียงเล็กน้อยและฟื้นตัวได้ภายใน 3 เดือนหลัง Fed เริ่มขึ้นดอกเบี้ย
นอกจากนั้น ในด้านมูลค่า (Valuation) ตลาดหุ้นในปัจจุบันนับว่าเริ่มแพง เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันบัตร (Bond Yield) ที่เพิ่มสูงขึ้น โดย Earning Yield Gap หรือส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนคาดการณ์ของตลาดหุ้นกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ได้ลดลงมาอยู่ที่ 2.7% ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2550
ดังนั้น จากประเด็นข้างต้นศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้แนะนำให้นักลงทุนลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงลงเนื่องจากความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยที่เพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังสูงต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ Fed ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แต่หากต้องการลงทุนนักลงทุนอาจมองหาสินทรัพย์การลงทุนอื่นที่ไม่ผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจมากนัก เช่น ธุรกิจที่อยู่ในกลุ่มเมกะเทรนด์ เช่น ธุรกิจนวัตกรรมการแพทย์ กลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคต เป็นต้น
ที่มา: ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป