นายสุชาติ กล่าวว่า ผมขอขอบคุณท่านเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงสตอกโฮล์มที่ให้การดูแลแรงงานไทยที่มาทำงานเก็บผลไม้ป่าตามฤดูกาลเป็นอย่างดี และให้ความร่วมมือในการติดตาม ดูแลแรงงานไทยที่เดินทางมาเก็บผลไม้ป่าในสวีเดนในแต่ละฤดูกาลให้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย มีสภาพความเป็นอยู่ที่ถูกสุขลักษณะ สามารถเข้าถึงระบบรักษาสุขภาพหากเกิดกรณีเจ็บป่วย หรือประสบอุบัติเหตุขณะทำงานอยู่ในสวีเดน
นายสุชาติ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับประเทศสวีเดนนั้น ปัจจุบันในฤดูกาลปี 2564 มีคนงานไทยเดินทางไปทำงานเก็บผลไม้ป่าจำนวนกว่า 7,000 คน ซึ่งเป็นการเดินทางไปทำงานด้วยวิธีนายจ้างในประเทศไทยพาลูกจ้างไปทำงานในต่างประเทศ โดยแรงงานไทยจะได้รับวีซ่าประเภททำงาน และต้องจัดทำสัญญาจ้างงานซึ่งรับรองรายได้ขั้นต่ำรายเดือนให้แรงงานไทยตามที่สหภาพแรงงานส่วนท้องถิ่นแห่งสวีเดนกำหนด โดยแรงงานไทยที่ไปเก็บผลไม้ป่ามีรายได้เฉลี่ยหลังหักค่าใช้จ่ายคนละประมาณนับแสนบาท ซึ่งแรงงานเหล่านี้เดินทางไปทำงานในช่วงว่างเว้นจากฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรในประเทศไทยโดยไปทำงานในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน และแรงงานไทยที่เดินทางไปเก็บผลไม้ป่าได้สร้างชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในเรื่องความสามารถและความเชี่ยวชาญในการเก็บผลไม้ป่ามาอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้แรงงานไทยเป็นที่ต้องการของบริษัทผู้รับซื้อผลไม้ป่าเป็นอย่างมาก
นางกาญจนา ภัทรโชค เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน กล่าวว่า ปัจจุบันมีคนไทยอยู่ที่สวีเดนมากถึงเกือบ 80,000 คน ที่สำคัญคนงานที่มาเก็บผลไม้ป่าในสวีเดนเป็นแรงงานไทยกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของคนงานทั้งหมด ซึ่งคนงานเหล่านี้นายจ้างสวีเดนได้ประกันรายได้ขั้นต่ำรายเดือนให้คนงานไทยตามที่สหภาพแรงงานส่วนท้องถิ่นแห่งสวีเดนกำหนด คิดเป็นเงินไทยคนละประมาณนับแสนบาท ซึ่งการที่สวีเดนมีสหภาพแรงงานที่เข้มแข็งก็จะส่งผลดีต่อคนงานไทยให้ได้รับการดูแลจากนายจ้างเป็นอย่างดี ทั้งนี้ ปัจจุบันสวีเดนยังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะ ผู้ดูแลผู้สูงอายุ ผู้ช่วยพยาบาล สายงานด้านไอที เนื่องจากกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ ยังมีร้านนวดไทย ร้านอาหารไทยในสวีเดนอีกกว่า 1,000 ร้าน ที่ต้องการแรงงาน การหารือครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่กระทรวงแรงงานจะได้ขยายตลาดแรงงานให้คนไทยที่มีฝีมือ มีมาตรฐานได้มีโอกาสมาทำงานในสาขาอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากการเก็บผลไม้ป่าในสวีเดนต่อไปด้วย
ที่มา: กระทรวงแรงงาน