ความร่วมมือระหว่าง IWG กับ BDO สะท้อนถึงจุดแข็งความเป็นผู้นำด้านโซลูชันเพื่อการทำงานแบบไฮบริด ซึ่งช่วยให้พนักงานสามารถจัดสรรเวลาทำงานได้อย่างลงตัว ทั้งในที่ทำงานแบบเฟล็กซ์สเปซและที่บ้าน เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และความยั่งยืนมากขึ้น สำหรับทั้งคนทำงานและโลกใบนี้ นอกจากนี้ ยังช่วยให้บริษัทประหยัดค่าใช้จ่าย และสะท้อนความต้องการของพนักงานที่ชอบการทำงานแบบไฮบริดมากกว่า หลังจากเกิดการปรับตัวสู่การทำงานที่บ้านระหว่างโควิดแพร่ระบาด
ปัจจุบัน BDO ให้บริการลูกค้าบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ และกิจการระหว่างประเทศ ด้วยบริการเหมือนคู่คิดที่เชี่ยวชาญเชิงลึกในอุตสาหกรรม มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในหลากหลายสาขา อีกทั้งมีเครือข่ายที่กว้างขวางทั่วโลก สำหรับ IWG นั้น มีพื้นที่สำนักงานในเมืองสำคัญทั่วโลกกว่า 120 ประเทศ และมีความร่วมมือกับ BDO แล้วในสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น อิสราเอล และกายอานา จึงมีความยินดีที่ได้ขยายความร่วมมือในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศชั้นนำในโลกแห่งการทำงานยุคใหม่ ที่เปิดโอกาสให้พนักงานได้ทำงานในออฟฟิศที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานไฮบริดโดยเฉพาะ พร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า มีความโดดเด่นด้านทำเลที่ตั้งที่ดีเยี่ยมใจกลางกรุง ใกล้สถานีอโศกอินเตอร์เชนจ์ ที่เดินทางได้สะดวกทั้งโดย BTS และ MRT
กาเร็ท เฮเวอร์ ซีอีโอ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ IWG กล่าวว่า "ปัจจุบันหลาย ๆ บริษัทเปลี่ยนมาเป็นไฮบริดโมเดลมากขึ้น เพราะตอบโจทย์ความต้องการของทีมงานให้มีความยืดหยุ่นและสมดุลในชีวิต ทำงาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมเข้าไปมีส่วนร่วมและช่วยสนับสนุนลูกค้าได้เต็มที่ IWG จึงพยายามผลักดันเทรนด์พื้นที่การทำงานแบบไฮบริด ที่เป็นหนึ่งในโซลูชันบริการของเราที่ช่วยตอบโจทย์ได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานในรูปแบบใด
IWG ยินดีที่ได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับ BDO ดึงทรัพยากรระดับเวิลด์คลาสและให้บริการที่พิเศษเหนือระดับแก่ลูกค้าของ BDO ในประเทศไทย ทีมงานที่แข็งแกร่งของ BDO นับร้อยชีวิต จะทำงานที่ Regus Exchange Tower แบบไฮบริดที่มีความเฉพาะตัว เอื้อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานในออฟฟิศที่ล้ำสมัยด้วยเทคโนโลยี และออกแบบมาเป็นพิเศษไม่เหมือนใคร"
ด้วยความแข็งแกร่งของ IWG ซึ่งมีแบรนด์ในเครือหลากหลาย ได้แก่ Regus, Spaces, No18, Basepoint, Open Office และ Signature มุ่งมั่นสร้างการเติบโตเชิงรุกในปี 2022 ซึ่งบริษัทเล็งเห็นโอกาสและศักยภาพของกรุงเทพฯ ที่จะพัฒนาเป็นการทำงานแบบไฮบริด จึงเตรียมเปิดจุดให้บริการอีก 8 แห่งเร็ว ๆ นี้ที่ล้วนเป็นโลเกชันชั้นเยี่ยมในเขตปริมณฑล ซึ่งจะส่งให้เครือข่ายของบริษัทเติบโต ขยายตัว และส่งเสริมการทำงานในพื้นที่ไฮบริด เสริมพลังให้ธุรกิจในประเทศไทย ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ตอบโจทย์ความคาดหวังของพนักงาน ประหยัดค่าใช้จ่าย และทำให้เกิดรูปแบบการทำงานที่มีความยั่งยืนมากขึ้น
ที่มา: เอบีเอ็ม คอนเนค